เบื่อมั้ยกับการฟังเพลงไปเรื่อยๆ แบบที่ทำอยู่ทุกวัน วันนี้เรามีวิธีการฟังเพลงให้สนุกมากขึ้นมาแนะนำกัน (พิมพ์ประหนึ่งเป็นทีวีไดเร็ค ฮ่าๆ) หากคุณติดตามยูทูปแชแนล ช่อง REACT อยู่นั้น รายการ GUESS THAT SONG CHALLENGE ถือเป็นอีกรายการของช่องนี้ที่คุณไม่ควรพลาด ช่อง REACT เป็นช่องที่แตกมาจาก FBE (Fine Brothers Entertainment) อีกที เป็นช่องที่ผลิตวิดีโอ react ต่อเอฟเวอรี่ติ๋งจิงกะเบลบนโลกใบนี้ โดยมีตั้งแต่เด็กไม่กี่ขวบไปจนถึงรุ่นคุณลุงคุณป้ามาเป็นรีแอ็คเตอร์ และช่วงหลังทางสต๊าฟก็เริ่มเข้ามาร่วมจอยด้วย จนมีรายการนี้เกิดขึ้นมา GUESS THAT SONG CHALLENGE (ft. FBE STAFF) ส่วนประเด็นของรายการก็ตรงตามชื่อภาษาอังกฤษเลย คือให้สต๊าฟจับคู่แข่งขันกัน แล้วตอบว่าเพลงที่ได้ยินมีชื่อเพลงว่าอะไร? ร้องโดยศิลปินคนไหน? โดยจะเริ่มให้ฟังที่ระยะเวลาตั้งแต่ 1 วินาที และเพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึง 15 วินาที จนกว่าจะมีใครกดปุ่มและตอบคำถามได้ถูกต้อง ความสนุกมันอยู่ที่เราได้ท้าทายตัวเองเนี่ยแหล่ะ เพราะบางเพลง แค่วินาทีเดียวก็ไม่สามารถบอกว่านั่นคือเพลงได้ด้วยซ้ำ แต่บางเพลง พอได้ยินวิเดียว ก็ตอบได้เลยอย่างมั่นใจ มันเป็นความท้าทายที่สนุกและเพลินดี เวลาที่เราตอบได้ จะให้ความรู้สึกดีใจเยี่ยงเด็กที่สอบเข้ามหา'ลัยได้เพียงคนเดียวของหมู่บ้าน และนอกจากจะเป็นการท้าทายตัวเองแล้ว ในขณะเดียวกันยังเป็นการได้อัพเดทเพลงใหม่ หรืออาจจะเป็นเพลงเก่าๆ ในคลังความจำของเราที่แอบลืมมันไปแล้วได้อีกด้วย ซึ่งบางตอนยังมีการกำหนดธีมเพลงที่จะเปิด เช่น เพลงการ์ตูนดิสนีย์ เพลงร็อค เป็นต้น นอกจากความท้าทาย หรือความเพลิดเพลิน ความสนุกที่ได้ดูรีแอ็คของสต๊าฟที่พยายามแข่งขันกันก็ถือเป็นความบันเทิงอีกอย่างจากการดูรายการนี้ด้วย ซึ่งรายการนี้ปล่อย Ep.1 มาเมื่อ 23 เมษายน 2016 จนตอนนี้มีถึง 14 ตอนแล้ว แถมยังแตกไลน์ออกมาเป็นให้เดาภาพยนตร์ เดาการ์ตูน เดาเสียงนักแสดง เดาไปเรื่อย ฯลฯ และเพิ่มไลน์คนเดาเป็นรีแอ็คเตอร์ทีมอื่นๆ เข้ามาอีกมากมาย เอาเป็นว่าใครสนใจอยากลองท้าทายความสามารถของตัวเองดูก็เข้าไปกดติดตามดูกันได้เลยที่ REACT Channel (นี่ไม่มีค่าโฆษณาแต่อย่างใด เป็นความชื่นชอบของตัวเองล้วนๆ) เรื่องเล่าวันนี้คือความ #ติ่งฉิบหาย สำหรับการดูคอนเสิร์ต ONE OK ROCK ครั้งแรกในชีวิต (ซึ่งอันที่จริงควรจะเป็นตั้งแต่ SUMMER SONIC 2013 แต่ดันไปถึงงานช้า วิ่งไปที่สเตเดียมได้ยินเพลงสุดท้ายจากข้างนอก เฟลสุด ณ จุดนั้น) แต่ในปีเดียวกัน พวกนางก็มา Live in Bangkok ครั้งแรก บัตรยืน ราคาเดียว ตั้งปณิธานว่าต้องไปยืนเกาะรั้วหน้าสุดให้ได้ แต่พอขึ้นไปถึงที่จัดงาน มีแฟนเพลงต่อแถวกันอยู่บ้างแล้ว (ไหนความเป็นคนหน้าสุดของกู?) แต่คนมันจะโชคดี อะไรก็ฉุดไว้ไม่อยู่ อิอิ แฟนเพลงไปยืนต่ออยู่หน้าประตูเดียว แต่ที่จริงมันมีทางเข้า 2 ประตู นี่ก็เดินเอ๋อๆ ไป สรุปได้เป็นคนแรกของอีกประตู รอประตูเปิดอย่างใจจดใจจ่อมาก ระหว่างรอก็พยายามต่อรองกับพี่การ์ดว่าขอเปิดก่อนอีกฝั่งซัก 1 นาที (นี่ตอนนั้นกูต้องพยายามขนาดนี้เลยเหรอ?) พอประตูเปิดเท่านั้นล่ะ กะวิ่งตรงอย่างเดียว แต่พอวิ่งไปได้ 3 ก้าว ไฟในฮอลดับ ห่า!!! มองไม่เห็นทาง ต้องตะโกนคุยกับเพื่อน บอกว่าวิ่งตรงไปเลย ไปเจอกันที่สุดปลายฟ้าข้างหน้านะ! สุดท้ายก็ได้เกาะรั้วหน้าสุดตรงกลาง ตรงหน้าทากะกันไปเลย :D แล้วพอคอนฯเริ่ม ก็ตกอยู่ในพะวังทันที แหกปาก แถมเฮดแบงแบบไม่กลัวว่าคอจะพัง จนนาทีที่ทากะลงจากเวทีเพื่อมาเดินข้างล่างตรงกลางที่ทีมจัดไว้ ก็พยายามยื่นมือจะไปให้นางจับ รอบลงมาเป็นคนแรกไง นางไม่สน! (เจ้เบื่อ!) ตอนรอนางเดินกลับมา ในใจก็คิดว่าไม่ได้การละ กูต้องทำไรซักอย่าง สุดท้ายเสียสติหยิบหมวกที่ตัวเองใส่อยู่ยื่นออกไปสุดแขน สรุปนางหยิบเว้ย!!! สตั๊นไป 30 วิ นาทีนั้นจิตหลุดทะลุระบบสุริยะไปแล้ว หลังจากหยิบหมวกจากมือเราไป ทากะก็เอาไปใส่ร้องเพลงบนเวที ก่อนจะมองหาเจ้าของหมวกแล้วยื่นส่งคืนมา (แม่จ๋า!!! มาสู่ขอทากะให้หนูที) นาทีนั้นเอาอะไรมาฉุดลงจากอาการลอยไม่ได้เลยจ้ะเธอจ๋า แต่ๆๆ ความติ่งมันไม่จบเท่านั้น หลังจากนั้นตลอด 1 สัปดาห์ นั่งเสิร์ชหาในโลกออนไลน์ว่ามีใครแอบถ่ายรูปจังหวะทากะใส่หมวกได้มั้ย หาจนหมดความพยายาม จนถึงกับขั้นส่งเมสเสจไปหาคุณ Rui ช่างภาพญี่ปุ่นที่มาถ่ายคอนฯรอบนั้นว่า "เธอมีรูปตอนทากะใส่หมวกสีแดงที่ไทยมั้ย ขอหน่อยจิ" แล้วคิดว่านางจะอ่านมั้ย? ก็ไม่อ่านตามคาด สรุปก็สิ้นความหวังไป ยังๆๆ มันยังไม่จบ พอวงประกาศว่ามีบันทึกการทัวร์คอนฯรอบนี้จะเข้าฉายในโรงหนังที่ไทยด้วย นี่รีบจองตั๋วไปดูเลยอย่างไม่ลังเล (นี่กูยังควรมีความหวังอยู่อีกเหรอ?) แห้ว! อีกสิครับท่านผู้ชม ในเทปช่วงที่ตัดต่อตอนมาไทยสั้นมากจนน่าใจหาย เลยเลิกล้มความตั้งใจในการหารูปทากะใส่หมวกแดงมาเก็บเป็นความทรงจำในไดอารี่ไป จนในที่สุด MV Decision ก็ถูกปล่อยออกมา ช่วงนาทีที่ 2.22 เวลาเพียงเสี้ยววิ ย้ำ! ว่าเสี้ยววิที่มีเราติดอยู่ในเอ็มวีถือหมวกสีแดง ที่ไม่มีตอนทากะใส่ พอเห็นแค่นั้นแหล่ะ ถึงไม่ประสบความสำเร็จเต็มร้อย แต่คือฟินนนนนนนนนนนนนนนนน ตัดจบเลยทันที ภารกิจตามล่าหารูปที่ทำมานาน พอมาพิมพ์แล้วอ่านดู กูนี่มัน #ติ่งฉิบหาย #ติ่งฉิบหาย ตอนที่ 00
ตลอด 17 ปี (โดยประมาณ) ที่เริ่มติ่งมาอย่างจริงจัง พอมองย้อนกลับไปแล้ว หากนับเป็นมูลค่าทางการเงินคิดว่าคงซื้อที่และสร้างบ้านดีๆ แถวสุขุมวิทได้ซักหลัง หากนับเป็นมูลค่าทางจิตใจ ตอนนี้ก็อยู่ในระดับที่ทะยานถึงยูเรนัสละ อีกนิดหนึ่งก็หลุดระบบสุริยะได้ ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา พอมองย้อนกลับไปแล้ว ก็สำเหนียกได้ว่า แม่ง! ทำไมกูติ่งได้ขนาดนี้วะ นี่เรียกได้ว่าติ่งเป็นอาชีพเลยนะ ซึ่งอันที่จริงก็คงมีอีกหลายคนที่ก็คงติ่งหนักในด้านใดด้านหนึ่งเหมือนกัน พอมองคนอื่นติ่ง เราเลยหันกลับมามองความติ่งของตัวเอง ซึ่งก็พอรู้อยู่แล้ว ว่ามันหนักหนาสาหัสขนาดไหน แต่เมื่อได้สำรวจตัวเองจริงจังเท่านั้นแหล่ะ เลยรู้สึกได้ว่าเอ้อววว! มันก็เป็นเรื่องสนุกๆ ที่สามารถเล่าได้ไม่รู้จบได้นะ #ติ่งฉิบหาย การเขียนเล่าเรื่องราวที่บางคนอาจจะยังเข้าไม่ถึง ทั้งเรื่องราวดีๆ สนุก ฮา น่าประหลาดใจ ดาร์คๆ และอีกมากมายหลากหลายด้าน จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในความคิดเรา และจะขอเล่าตั้งแต่วันนี้ไป (เพื่อความมันของตัวเองล้วนๆ ไม่มีเจตนาอย่างอื่นเลย 55) สำหรับตอนนี้ คือตอน "สรุปยอดความติ่ง ณ ปัจจุบัน" ตัวเราติ่งอะไรอยู่บ้าง ณ ตอนนี้มาสำรวจตัวเองกัน!!! 1. ยังคงติ่ง TVXQ หนักอยู่เช่นเดิม และมีแผนการล้มละลายตัวเองรออยู่ข้างหน้า 2. ติ่ง ONE OK ROCK มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน ถึงขั้นตั้งความคาดหวังให้กับตัวเองได้ดูคอนฯของวงนี้ปีละ 1 ครั้ง(เป็นอย่างน้อย) ที่ไหนก็ได้ที่ไปไหว 3. ติ่งเทศกาลดนตรี ที่ไหนก็ได้ในโลก ขอปีละ 1 ครั้ง(เป็นอย่างน้อย) ไลน์อัพสวย จะมีความมุ่งมั่นเป็นพิเศษ 4. ติ่งการดูคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตอะไรก็ได้ที่อยู่ในแนวดนตรีที่สนใจ เดือนละครั้ง ถ้าไม่ได้ดูนานๆ อารมณ์เหมือนขาดยา ถ้าขาดหนัก ใจจะสั่น พลังงานจะหมดจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข แต่แนวเพลงที่ชอบก็เสือกเยอะอีก ความฉิบหายจึงเกิดขึ้นกับสถานะทางการเงิน 😂 5. ติ่งการเขียน Journal แล้วการเขียนแบบนี้ไม่ธรรมดา ปากกาหมึก ปากกาสี ปากกาตัดเส้น ดินสอ สีระบาย กาว สติ๊กเกอร์น่ารักๆ (ที่ตอนนี้มีอยู่เกือบ50เซ็ตที่ยังใช้ไม่หมด) MT (ที่ตอนนี้มีเกือบร้อย และไม่มีทีท่าว่าจะใช้หมดเช่นกัน) และอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องใช้รังสรรค์ผลงาน 6. ติ่ง Harry Potter ยังคงติ่งมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงทยอยซื้อนู่นนี่นั่นไม่หยุด 7. ติ่ง Alice in Wonderland อย่างต่อเนื่องและบ้าคลั่งจะซื้อนู่นนี่นั่นเพิ่มไม่เลิก 8. ติ่ง Moomin ซึ่งหนักไปทาง Snufkin เห็นแล้วมักจะมือสั่น อดใจหยิบไปจ่ายตังซื้อไม่ได้ 9. ติ่งกาชาปอง Funko ของชิ้นเล็กๆ ถ้าเข้าข่าย Ghibli Studio/Disney และข้อบนๆ ที่กล่าวมา...ต้องสะกดจิตตัวเองห้ามใจให้ไม่กดซื้อเด็ดขาด! 10. ติ่งนิตยสารญี่ปุ่น แม่งอ่านไม่ได้หรอก เข้าใจนิดๆ หน่อยๆ แต่คอนเท้นท์ รูปภาพ เลย์เอาท์ กราฟฟิกดีไซน์ น่าสนฉิบหาย ... หยิบจ่ายจ้่า 11. ติ่งหนังสือ คือชอบเข้าร้านหนังสือ พอเข้าปุ๊ปก็เหมือนเจอหนังสือแม่งทักทาย คุยกับเล่มไหนถูกใจ ก็แทบจะอดใจพากลับบ้านไม่ได้ 12. ติ่งเที่ยว ข้อนี้มีผลกระทบกับสถานะการคลังขั้นรุนแรง แต่แม่งก็ยังอยากเที่ยวอยู่ดี หมุนเงินวนไป!! นี่คือสถานะยอดความติ่ง ณ ปัจจุบัน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วต้องมีเรื่องเสียเงินจากปัจจัยด้านบน อย่างน้อย 4 ปัจจัยต่อเดือน เดือนไหนแม่งกิเลสหนักก็แดกแกลบกันไป ทั้งหมดนี้ไม่ได้จะมาอวดว่ามีเงิน แต่จะมาเตือนว่าอย่าเป็นอย่างเราเลย ถ้าใจไม่หนักแน่นพอที่จะมีหนี้สินในบัญชีหนังหมาเยอะเข้าขั้นฉิบหายแบบเรา 55555 (ในเลข 5 มีน้ำตาซ่อนอยู่) และนี่คือ #ติ่งฉิบหาย ตอนที่ 00 จากเรื่องจริง 10 ปีของ GReeeeN วงดนตรีที่ไม่เคยเปิดเผยหน้า “Kiseki” (キセキ) ถือเป็นซิงเกิ้ลที่ 7 ของวง GReeeeN ที่ถูกปล่อยออกมาในปี ค.ศ.2008 และเป็นเพลงแรกของวงที่ขึ้นอันดับ 1 บนโอริกอนชาร์ตนานกว่า 2 สัปดาห์ รวมทั้งมียอดจำหน่ายแผ่นกว่า 500,000 ชุด ถือได้ว่าเป็นเพลงแห่งปาฏิหาริย์อย่างแท้จริงก็ว่าได้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขามีผลงานเพลงออกมามากมาย และมีหลากหลายเพลงที่ขึ้นชาร์ตอย่างต่อเนื่อง ทว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยเปิดเผยหน้าตาให้แฟนเพลงได้เห็นเลย เพราะฉะนั้นจะดีแค่ไหน ที่เราจะได้ทำความรู้จักพวกเขามากขึ้นผ่านภาพยนตร์ชีวประวัติของวงเรื่อง “キセキ あの日のソビト” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “KISEKI – GReeeeN 4 ทันตะ หัวใจดนตรี“ เนื้อเรื่องเริ่มปูพื้นตั้งแต่ก่อนที่วงจะเดบิวต์ในปี ค.ศ.2007 โดยมีตัวละครหลักคือ “ฮิเดะ” หนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก็ตั้งวง โดยเนื้อเรื่องเริ่มจากความเห็นที่ไม่ลงรอยระหว่างความต้องการของพ่อที่เป็นคุณหมอซึ่งอยากให้ลูกของเขาเจริญรอยตาม กับความฝันที่อยากเป็นนักดนตรีของ “จิน” พี่ชายของฮิเดะ จนสุดท้ายจินตัดสินใจออกจากบ้าน เพื่อไปตามความฝันของตัวเอง ในขณะที่ฮิเดะเลือกที่จะทำตามความต้องการของพ่อ และตัดสินใจจะเป็นหมอฟันให้ได้ อย่างไรก็ตาม ฮิเดะกลับมีความชอบรวมทั้งพรสวรรค์ทางด้านดนตรีไม่ต่างจากจิน พี่ชายของตน ในขณะที่ความฝันในการเป็นนักดนตรีของจินกำลังมีอุปสรรค จินก็ได้ค้นพบพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในตัวของฮิเดะ สุดท้ายจินจึงตัดสินใจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่คอยผลักดันให้ฮิเดะและเพื่อนทั้ง 3 ในฐานะวงดนตรีตั้งแต่นั้นมาจนทางวงได้เดบิวต์และมีผลงานมาจนถึงปัจจุบัน เราเป็นอีกคนที่ฟังเพลงของวงนี้มาตลอด แต่ไม่เคยติดตามอย่างจริงจังและไม่เคยนึกเอะใจว่าทำไมโลโก้วงถึงเป็นรูปฟันแต่อย่างใด เคยแค่สงสัยว่าทำไมในชื่อวงต้องมีตัว “e” เยอะขนาดนั้น แล้วก็ปล่อยผ่านไป เหตุผลแรกของการเลือกมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้คือนักแสดงบท 92 (คุนิ) หรือเรียว นาริตะ ที่เราติดตามเขาในฐานะนายแบบสังกัด MEN’S NON-NO อยู่นั่นเอง (ยิ้มเขิน) แต่ก็ต้องขอบคุณเรียวที่ทำให้เราได้เจอกับภาพยนตร์ดีๆ อีกเรื่องที่เข้าฉายในบ้านเราปีนี้ ด้วยความที่เราชอบฟังเพลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเคยฟังเพลงของวงมาก่อน จึงทำให้อินกับภาพยนตร์แนวนี้ได้ไม่ยาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรายืนยันได้เต็มปากเต็มคำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะกับทุกคน ไม่ใช่แค่เฉพาะแฟนเพลงของวงนี้แน่นอน เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์ Feel Good ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการทำเพื่อความฝันของตัวเองได้เป็นอย่างดี การเรียนทันตเพทย์ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่การที่ต้องเรียนทันตแพทย์ไปด้วย และทำดนตรีซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารักไปด้วยพร้อมๆ กันนั้น เรียกได้ว่าถ้าไม่รักและไม่ทุ่มเทมากพอจริงๆ ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้เลย และเพราะเป็นภาพยนตร์ชีวประวัติ จึงทำให้เราได้เห็นแง่มุมของความเป็นจริงบนโลกใบนี้อยู่ด้วย ความฝันกับความเป็นจริงที่ต้องทำความเข้าใจหรือยอมรับมันให้ได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เราได้มองย้อนกลับมามองตัวเราเองว่าตอนนี้ได้พยายามเพื่อความฝันของตัวเองมากพอแล้วหรือยัง หรือหากความฝันที่ว่ามันจะมีไม่ทางเป็นความจริงได้นั้น เราจะปรับเปลี่ยนแนวทางหรือมุมมองอย่างไรได้บ้าง มันทำให้เรารู้สึกอยากจะบาลานซ์ความฝันกับความเป็นจริงให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่เลือกที่จะทิ้งความฝัน และใช้ชีวิตที่น่าเบื่อไปวันๆ และในขณะเดียวกันก็ไม่จมอยู่กับความฝัน จนใช้ชีวิตบนโลกความเป็นจริงไม่ได้ นอกจากมุมมองเรื่องความฝันแล้ว ภาพยนตร์ยังได้ถ่ายทอดเรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัวออกมาได้เป็นอย่างดีด้วย เรียกว่าดูเรื่องเดียว ได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในหลายด้านๆ ไปพร้อมๆ กันเลยล่ะ สุดท้ายนี้ คาแร็คเตอร์หลักในเรื่อง เล่นออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะโทริ มัตสึซากะ ที่รับบทจิน และมาซากิ สุดะ ที่รับบทฮิเดะ โทริคือเล่นดีมาก ดีจนตกหลุมรักคาแร็คเตอร์นี้ไปเลย! ดีจนลืมจุดประสงค์แรกที่ตั้งใจมาดูบท 92 ที่เรียวเล่นไปเลย! (แฮ่ๆ)
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมา KISEKIฯ จึงถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่คุณไม่ควรพลาด โดยภาพยนตร์จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่ร่วมรายการ แบบออริจินัลซาวแทรคเสียงญี่ปุ่น บรรยายไทย ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายนนี้ ใครไม่อยากพลาดก็รีบวางแผนจองตั๋วไปดูกันนะ บริษัท เดกซ์ [ดรีม เอกซ์เพรส] และ สตาดิโอ จำกัดเขาจัดมาให้แล้ว ข้อมูลเพิ่มเติม: DEX club |