นาทีที่ THE VERY COMPANY ประกาศ BLOSSOMS LIVE IN BANGKOK ก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้วล่ะคุณผู้ช๊ม ปฏิญาณตนไปแล้วว่าจะต้องได้ดูคอนฯเดี่ยวให้ได้ตั้งแต่ที่วิ่งไปดูวงขึ้นเล่น SUMMER SONIC ปี 2016 ที่ผ่านมา วันจองบัตรเลยตื่นมาตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อมาจับมือถือไว้ในมือ แล้วหลับๆ ตื่นๆ อย่างพะวงจนถึงเวลาจองบัตรเพราะกลัวบัตรหมด ก็ได้บัตรมาไว้ในอ้อมกอดให้อุ่นใจ แต่เสียดายที่บัตรไม่ Sold Out ตัดภาพมาที่เมื่อวาน ด้วยความที่ออกจากห้องช้า แล้วต้องไปวิ่งหาของฝากให้วง บวกกับหิวข้าวด้วย เลยแวะกินข้าวก่อน ถึง VOICE SPACE ตอนทุ่มนิดๆ แล้วก็ตรงดิ่งเข้างานเลย - ทัน TILLY BIRD เล่น ประมาณ 3 เพลง ไม่เคยรู้จักวงนี้มาก่อน แต่เล่นสดดีเลยนะ สนุกดี เพลินดี - TABASCO ก็ได้ดูกันบ่อยๆ น่ะเนาะ เพราะขึ้นเป็นวงเปิดให้หลายงานมากจริงๆ - TELEX TELEXS เสียงนักร้องนำดี ชอบเสียงน้องเค้า แต่ไม่รู้ทำไม ดูมาหลายรอบแล้ว แต่ไม่อิน อาจจะไม่ใช่สไตล์การเล่นสดที่เราชอบล่ะมั้ง แต่แฟนเพลงเค้าก็เยอะนะ น้องผู้หญิงข้างๆ นี่ร้องได้ทุกเพลงอย่างสนุกสนาน ตามตารางคือ BLOSSOMS ขึ้น 21.40 น. ก็เซ็ทเครื่องกันซักพัก เลทนิดหน่อย ประมาณ 10 นาที สมาชิกวงก็เดินเรียงคิวขึ้นบันไดมา แล้วก็เปิดด้วย - I CAN'T STAND IT: เลือกใช้เพลงเปิดได้ดีนะเราว่า เดินขึ้นมาบนเวทีปุ๊ป ประจำตำแหน่งปั๊ป ก็...ปั้ง! โยกกันเลยจ้า ซาวน์คีย์บอร์ดใสๆ มีความน่ารักเบาๆ เป็นเพลงเรียกน้ำย่อยที่ดี จบเพลงก็ทักทายแฟนเพลง และแน่นอนว่าไม่ลืมบอกชื่อบ้านเกิดเมืองนอนอย่าง Stockport ด้วย เป็นวงที่สำนึกรักบ้านเกิดกันมากจริงๆ - HONEY SWEET อินโทรขึ้นปุ๊บ เสียงเฮก็ดังลั่นทันที เป็นเพลงฮิตนี่เนาะ - COOL LIKE YOU กลับมาโยกกันต่อกับเพลงนี้ซึ่งเป็นเพลงแนวดิสโก้ ยุค 70 ที่ทำให้ห้ามตัวเองไม่ให้โยกไม่ได้จริงๆ แถมไลท์ติ้งเพลงนี้ก็ดีด้วย - ต่อด้วยเพลง I JUST IMAGINED YOU โยกต่อไม่รอใคร เพลงนี้ต้องยกให้จังหวะกลองของโจเค้าล่ะ โจ๊ะดีจริงๆ บวกกับเสียง Backing Vocal ของชาร์ลีที่ช่วยให้ความโจ๊ะซอฟท์ลงในท่อนฮุค ลงตัวดี - แล้วก็เป็นอีกเพลงฮิตจากอัลบั้มใหม่ที่ถูกดึงมาเป็นซิงเกิ้ลโปรโมทด้วยอย่าง HOW LONG WILL THIS LAST? ภาพเอ็มวีพุ่งเข้ามาให้หัวเลยล่ะ ถ้าใส่สูทสีฟ้าแบบนั้นมาเล่นด้วย คงน่ารักดี แต่ก็คงร้อนมากด้วยเช่นกัน ฮ่าาาา - STRANGER STILL เพลงที่ตอนเราฟังครั้งแรก ช่วงที่อินโทรขึ้น ถึงกับต้องเปิดมือถือดูอีกทีว่านี่ฟังเพลงของบลอสซั่มอยู่ใช่มั้ย? แต่พอฟังไปซักพัก แล้วถึงท่อนฮุค ก็เอ้อ! มีความบลอสซั่ม มีเอกลักษณ์ของวงอยู่ และกลายเป็นชอบเพลงนี้ไปเลย ได้มาฟังสดแล้ว ซาวน์สดดีกว่าในออดิโอ้อีกเด้อ! กลับมาห้องก็ยังร้อง If I had you to my self I'd be happy where I am วนไป - BLOW อีกเพลงที่เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีตอนอินโทรขึ้น ซาวน์กีตาร์ กลอง เบส ซินธิฯ ดีไปหมดเลยจ้า!! ประทับใจเล่นสดเพลงนี้มากๆ - ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มแรกอีกเพลงกับ CUT ME AND I'LL BLEED ที่คงจังหวะความสนุกต่อจากเพลง BLOW ได้เป็นอย่างดี ชอบเสียงของทอมช่วงที่ค่อยๆ ปล่อยคำท้ายของแต่ละท่อน อย่างท่อน cut me and I'll bl.....eed ออกมา มีเสน่ห์ดี - BLOWN ROSE เล่นเพลงจากอัลบั้มแรกกันยาวๆ ไป เพลงนี้เรียกความฮือฮาขึ้นมาอีกสเต็ป อาจจะเพราะหลายคนรอดูไลฟ์กันมานานเกินทนแล้ว พอได้ฟังเพลงจากอัลบั้มแรก เลยเหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นที่รอมานาน 555 แต่เพลงนี้คือดีจริงๆ น่ะแหล่ะ ด้วยความที่ซาวน์ดนตรียุค 80 ที่ชัดเจน เมโลดี้ฟังสบายๆ ทำให้ฟังกี่ทีก็ไม่เบื่อที่ได้ฟัง - LOVE TALK ลดจังหวะลงมาหน่อยกับเพลง Love Talk ที่เนื้อเพลงมีความน่าเอ็นดูมากๆ โดยเฉพาะท่อนชาลาลาตอนท้ายที่ชาร์ลีเดินมาร้องไมค์เดียวกันกับทอม ยิ่งทำให้น่าเอ็นดูมากขึ้น 555 - ต่อจาก Love Talk ก็เป็น BETWEEN THE EYES ที่จังหวะและซาวน์มีความดาร์คๆ มืดมนหน่อย - แล้วก็มาถึงเพลงเด็ด! GETAWAY ทั้งซาวน์เด็ด ทั้งโมเม้นท์เด็ด ที่ไมค์มันหล่นจากขาไมค์ (อีกรอบ) จนทอมทนไม่ไหวแล้ว เลยเปลี่ยนเนื้อเพลง บ่นเรื่อง Fxxking Mic กันไปเลย คนดูก็ฟังไป ขำไป กลายเป็นเรื่องสนุกไป คือก็ต้องเรียกว่าทอมรู้จักแก้ไขสถานการณ์ได้เก่งดี - และแล้วววววว เพลงที่รอคอยและอยากจะฟังทุกครั้งที่ได้ดูวงนี้เล่นสดก็มาถึง เพราะถือเป็นเพลงที่ทำให้เราตกหลุมรักวงนี้จริงจัง MY FAVOURITE ROOM ที่ทอมก็ไม่ลืมถามหาคนโดนหักอกในหมู่แฟนเพลง ตอนแรกมีเด็กจากเกาะอังกฤษยกละ แต่ทอมแม่งแซว แล้วก็ไม่เลือก 555 แล้วหลังจากนั้นก็งงๆ กันซักพัก จนมีคนยกมือขึ้นมาแล้วบอกชื่อว่า มิว แล้วพอทอมถามชื่อผู้ชายที่หักอก น้องเค้าตอบ มิวมิว...ทอมงงเลยจ้า 555 บอกไม่เชื่อหรอกนะ แต่เอาเป็นว่าจะร้องด้วยชื่อมิว กับมิวมิว ละกัน กีตาร์อคูสติกหนึ่งตัวกับเสียงของทอม คือ โอ้ยยยย พ่อคุณเอ๊ย! อยากอุ้มกลับบ้าน 555 ท่อนฮุคแฟนเพลงก็ร้องกันได้แบบเสียงดัง จนทอมยังทำหน้าเซอร์ไพรซ์แบบประหนึ่งว่า "เฮ้ย! เพลงกูมันดังอยู่นี่หว่า" เลยล่ะ แล้วยิ่งปิดเพลงด้วย Last Christmas ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาไปอีก รักเพลงนี้มากกว่าเดิมเลยล่ะ - วกกลับมาแบบงงๆ หน่อย ด้วย INTRO แต่มันลิ๊งค์กันระหว่าง 2 เพลงได้ดีอยู่นะ - จบอินโทรปุ๊ป ก็ดึงอารมณ์ความสนุกขึ้นมาอีกครั้งกับเพลง AT MOST A KISS ซาวน์ออดิโอ้ดียังไง เล่นสดดีขึ้นไปอีก!! นี่ฟังมาจนถึงเพลงนี้ก็รู้สึกคุ้มแล้วล่ะที่ได้ดูวงนี่เล่นสดอีกครั้ง - เพลงต่อมา คือเพลงน่ารักๆ THERE'S A REASON WHY (I NEVER RETURNED YOUR CALLS) น่ารักจนอยากจะเต้นท่าในเอ็มวียาวๆ ไป แต่ติดว่าไปคนเดียว เขินนน เลยได้แต่โยกไป ยิ้มไปเบาๆ ได้ฟีลดนตรีของวง ABBA ดี - UNFAITHFUL เพลงนี้ไม่ใช่เพลงโปรโมท แต่ไม่ควรมองข้ามเลยล่ะ เพราะเนื้อเพลงที่มีความเป็นบทกวีสูง อินสไปร์จากหนังสือรวม Quote ที่ทอมชอบอ่าน บวกกับซาวน์กระแทกๆ หน่อย เอ้อ ฟังไปฟังมาก็ติดกับดักเพลงนี้อีกเพลง ฟังวนไปเด้อจ้า จบเพลงนี้ ทอมบอกว่าเหลือ 2 เพลงสุดท้ายนะ ประทับใจผู้ชมมากๆ หวังว่าจะได้เจอกันอีกในไม่ช้า แล้วก็ต่ออีก 2 เพลงโดยไม่พัก ไม่ encore ใดๆ ทั้งสิ้น - ดึงจังหวะลงมาหน่อยกับ DEEP GRASS - แล้วก็ปิดคอนเสิร์ตรอบนี้ด้วยเพลงที่ทำให้ BLOSSOMS เติบโตขึ้นมา เพลงจากอีพีตั้งแต่ปี 2015 อย่างเพลง CHARLEMAGNE นั่นเอง เฮสนั่นปิดท้ายคอนฯกันแบบสุดๆ ไต่ระดับความพีคขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ สรุป BLOSSOMS LIVE IN BANGKOK เป็นคอนเสิร์ตที่ประทับใจมากๆ สำหรับครึ่งปีหลัง ซาวน์ดีมากๆ เสียงแน่น ชัดเจนทั้ง 5 ชิ้น มีเอคโค่บ้างตอนช่วงวงเปิดก่อนหน้าที่วงขึ้นเล่น แต่พอวงขึ้นก็ไม่ได้สนใจละ 555 ไลท์ติ้งก็ดี เข้ากับแต่ละเพลง แต่ละจังหวะ ติดที่สโมคมันฟุ้งนานไปหน่อย จากที่เห็นไมล์สแบบเบลอๆ อยู่แล้ว ยิ่งไม่เห็นหนักกว่าเดิมช่วงที่มีควันหนาๆ วงเล่นดี แก้สถานการณ์ได้ดี เอ็นเตอร์เทนมากขึ้นกว่าที่เคยดูมา มีจังหวะในการแนะนำสมาชิกวงแต่ละคน มีช่วงโซโล่ของจอชที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน เอ็นดูความควงสายไมค์ของทอมที่ควงแล้วรับไม่ได้ กระแทกเวทีดังปุ้ก! สมาชิกวงตัวสูงยาว แต่งตัวน่ารักน่าเอ็นดู และสำเนียงสต็อคพอร์ทที่...โอโห ต้องใช้สมาธิฟังอย่างแรง เสียดายที่บัตรไม่ Sold Out เนี่ยแหล่ะ อยากให้คนเห็นความสามารถของวงนี้กันเยอะๆ อนาคตไกลแน่นอน! ใครพลาดคอนเสิร์ตรอบนี้...ได้แต่บอกว่า...เสียใจด้วยจริงๆ มาถึงช่วง Meet & Greet กันบ้าง เราเป็น 1 ใน 5 ผู้โชคดีจากทางแฟนเพจ แต่สรุปผู้จัดการวงใจดีหรือขี้เกียจแบกเสื้อกลับก็ไม่รู้ ก็เลยให้สิทธิสำหรับคนที่ซื้อเสื้ออีก 20 คนเพิ่ม ก็แถวยาวเหยียดกันไป เป็นการมีทแอนด์กรี๊ดที่ผู้จัดการสบายๆ มาก ใจดีเว่อร์วัง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่คุม ไม่ดัก ไม่ว่าอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผู้จัด THE VERY COMPANY ทั้งพี่สมิทธิเอง และทีมงานก็ใจดี เป็นกันเองทุกคนเลย แถมอีกอย่างที่เราประทับใจ ก็คือแฟนเพลงหรือผู้โชคดีอีก 4 คนจากเพจเนี่ยแหล่ะ คือเฟรนด์ลี่กันมากๆ จากประสบการณ์ที่ได้มีทกับศิลปินวงอื่นๆ ด้วย คือแทบหน้ามือกับหลังมือเลยนะ เฟรนด์ลี่กันสุดๆ คุยง่าย ช่วยเหลือกัน ไม่มีการกั๊กอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นความโชคดีเลยล่ะที่ได้รู้จักกับ 4 คนนี้ :)
ตัดกลับมาตอนจะมีท จับพลัดจับผลูอีท่าไหนไม่รู้ กลายเป็นคนแรกจ้าาาา หันไปถามว่าใครอยากเป็นคนแรกมั้ย ก็ไม่มี 555 พอสมาชิกวงออกมานั่งที่โต๊ะเท่านั้นล่ะ ยิ้มทักทาย เซย์ไฮกัน แล้วผู้จัดการก็ถามหาปากกาเพิ่ม เพราะบนโต๊ะมีแค่ 2 ด้าม ทางทีมก็บอกว่าไม่มีแล้ว และใช่ค่ะ! ประจวบเหมาะเหลือเกินที่ในมือดิชั้นมีอีก 3 ด้ามพอดี ก็เลยบอกไปว่า เอา 3 ด้ามนี้ไปใช้ก่อนได้นะ ผู้จัดการถึงกับต้องขอบอกขอบใจ แถมแซวกูอีกว่ามีหลายสี ทั้งดำ ทั้งน้ำเงินเลยนะ เจ๋งดี มีการเตรียมตัว ฮ่าาาา และด้วยความเป็นคนแรกไงล่ะคะท่านผู้ชม ถ้ากูช้านี่จะโดนสาปมั้ย อีกกว่า 30 ชีวิตที่ต่อแถวรออยู่ ก็เลยชิงเวลาโดยการพูดคุย ให้ของเป็นหลัก ไม่ได้ถ่ายรูปเลย สรุป....หลังจากนั้นมาทุกคนเซลฟี่กันสนุกสนานเลยจ้าาาา (น้ำตาจะไหล ฮืออออ) สุดท้ายเลยขอพี่สมิทธิวนกลับเข้าไปถ่ายรูปรวมกับวงหน่อย ซึ่งพี่แกก็ใจดีบอกให้รีบวนกลับเข้าไป ก่อนผู้จัดการจะว่า 555 เราซื้อกางเกงลายช้าง คุณค่าที่นักท่องเที่ยวคู่ควรในการใส่เดินเที่ยวในเมืองไทยให้ทุกคน (^o^) แล้วในถุงแต่ละคนก็มีวาดรูปแล้วเขียนชื่อภาษาไทยให้ พอโจเห็นก็ตื่นเต้นมาก บอกนี่คือชื่อฉันเหรอ เราก็บอกว่าใช่ๆ ชื่อเธอเวอร์ชั่นภาษาไทย น้องก็จิ้มๆ ชื่อตัวเองใหญ่ ถัดมาเป็นชาร์ลี ที่พอยื่นให้ปุ๊บก็ถามขึ้นมาทันทีว่านี่คือกางเกงใช่มั้ย เราก็เลยตอบว่า ใช่ๆ กางเกงที่นักท่องเที่ยวชอบซื้อใส่เวลามาเที่ยวไทย The must thing that you should try once นะ ชาร์ลีก็ตื่นเต้นใหญ่ ดูอยากได้อยู่แล้ว ก็เลยขอให้เขียนชื่อให้ด้วย น้องก็บอก Sure! แล้วก็ให้สะกดชื่อให้ ก่อนที่จะออกเสียงชื่อเราอย่างฉะฉานด้วยสำเนียงบริติชจ๋า 55 ต่อด้วยน้องทอม ที่นั่งยิ้มนิ่งๆ พอยื่นกางเกงกับรูปให้ก็ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก บอกขอบคุณนะที่มาดูคอนเสิร์ต ... ด้ายยยย จะตกแฟนคลับแบบนี้ใช่ป๊ะ? ไม่ต้องตกแล้ววววว เป็นมาหลายปีแล้ว 555 มาต่อกับความน่ารักของน้องไมล์ส พ่อคุณ!! ใสๆ น่ารักเหลือเกิน พอยื่นกางเกงกับรูปให้ น้องก็ตื่นเต้นใหญ่ วาดรูปให้ด้วยเหรอๆ แล้วก็หันไปอวดให้จอชดู แล้วพอเซ็นต์ให้เสร็จ ก็บอกว่าอย่าลืมรอรับปากกาที่ให้ยืมคืนด้วยนะ (ตายยยยยยย) จบด้วยจอชที่มีความน่ารักแบบอึนๆ มึนๆ ที่หลังงานเลิกมีโอกาสได้ขอเซลฟี่กับน้องอีกที เพราะโจกับจอชออกมาคุยกับแฟนคลับ แต่คือตอนเราไปไม่ทันโจ โจเดินกลับเข้าไปก่อน เหลือแค่จอชคนบ้า ที่แฟนคลับให้ทำอะไรก็ทำหมด ให้ทำท่ามินิฮาร์ทก็ทำ แล้วก็ถามว่าท่าที่ทำที่เกาหลีอ่ะนะ? พอบ้าเสร็จก่อนกลับก็หันมาบอกว่า โทษทีๆ (ที่ให้รอ) มาเซลฟี่กัน จังหวะแรกคือ เปิดโหมดวิดีโอไว้แล้วก็กดถ่ายแบบงงๆ แล้วจอชก็ทักว่านี่วิดีโอนี่ (อายยยยย 555) เลยเปลี่ยนโหมดแล้วถ่ายใหม่ เราบอกว่ามาทำท่าอะไรสนุกๆ กัน แล้วจอชก็คิดท่าแล้วบอกให้ทำตาม ซึ่งเราก็ทำตามอย่างงงๆ ไป 555 สุดท้ายก็เลยขอกอดน้องซักที น้องก็ให้กอด กอดแบบแน่นมาก ไม่ได้ให้กอดแบบผ่านๆ นะ เอ็นดูสุด น้องก็บอกกู้ดไนท์นะ เราเลยบอกไปว่า Hope to see you again soon! จบค่ำคืนกับ BLOSSOMS ได้แบบชีวิตบลอสซั่ม เบิกบานมากจริงๆ ❤ And they'll tell you I don't care anymore And I hope you'll know that's a lie Cause I've found what I have been waiting for But to get there means crossing a line So I'm crossing a line ส่วนหนึ่งจากเนื้อเพลง Crossing a line จากอัลบั้ม Post Traumatic ของไมค์ ชิโนดะ ที่เราเชื่อว่ามันคือข้อความที่ไมค์อยากจะสื่อสารกับแฟนเพลง เพื่อที่จะก้าวข้ามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก้าวต่อไปโดยยังคงได้ทำในสิ่งที่เขารักเหมือนที่ผ่านมา และเมื่อคืน (9 สิงหาคม 2561) ไมค์ก็ได้แสดงให้เราได้เห็นแล้วว่าเขารักในสิ่งที่เขาทำ รักในการยืนอยู่บนเวทีและการได้เจอได้สื่อสารกับแฟนเพลงมากแค่ไหน ซึ่งเราเชื่อว่าไมค์ก็รับรู้ได้ถึงแรงซัพพอร์ทที่แฟนเพลงมีให้กับเขาเช่นกัน Mike Shinoda Of Linkin Park Post Traumatic Tour Live in Bangkok 2018 คอนเสิร์ตเริ่มเวลาประมาณ 20.20 น. ซึ่งช้ากว่ากำหนดการเล็กน้อย แฟนเพลงยืนรอกันเพลินๆ ฮอลไม่แน่นมาก แต่ก็ไม่ได้โหลงเหลง หลังจากอินโทรช่วงเปิดจบและไฟดับลง พี่ไมค์ก็ส่งเสียงทักทาย How are you doing Bangkok!?! พร้อมกับเดินขึ้นมาบนเวที แล้วคอนเสิร์ตก็เริ่มทันที - เปิดด้วย Welcome (Fort Minor) ที่ถือเป็นการเริ่มต้นและเรียกเสียงจากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี - ต่อด้วยเพลง Place to Start จากอัลบั้มใหม่ของไมค์ ซึ่งพอซาวน์ดนตรีบวกกับเนื้อเพลง ก็ทำเอาน้ำตาคลอเลยล่ะ Did somebody else define me? Can I put the past behind me? Do I even have a decision, feeling like I'm living in a story already written. Am I part of a vision made by somebody else? คือแม่ง! เข้าใจได้ถึงความรู้สึกของไมค์อ่ะ คือแค่ฟังจากสิ่งที่ไมค์สื่อก็รู้สึกได้แล้ว พอนึกภาพว่าตัวไมค์เองจะรู้สึกมากกว่าแค่ไหน น้ำตาก็รื้นแล้วจ้าาา คือเอาจริงๆ จะเลือกไม่แคร์ความรู้สึกแฟนเพลงหรือคนอื่นก็ได้ แต่นี่คือเลือกที่ จะแคร์ เก็บมาคิด เก็บมาเครียด แล้วก็สื่อออกมาผ่านเพลงที่ตัวเองแต่ง - แล้วซาวน์ Watching as I Fall ก็ขึ้น พร้อมกับที่แฟนเพลงพร้อมใจกันร้องท่อนแรกกันอย่างเสียงดัง Excuse me while I kiss the sky ถือเป็นเพลง ที่ดึงอารมณ์ความมันขึ้นมาจากเพลงก่อนหน้า จบ 3 เพลงแรกก็ทักทายแฟนเพลง ขำขันกับเรื่องสีเสื้อ สีดำ สีแดง คุยกับแฟนเพลงพอหอมปากหอมคอ - มันต่อกับเพลงของ Linkin Park เพลง Castle of Glass ที่พออินโทรขึ้นแฟนเพลงก็เฮลั่น เพราะฉะนั้นนึกภาพออกนะว่าท่อนฮุกเสียงจะกระหึ่ม แค่ไหน - When They Come for Me เพลงที่แข่งกันแร๊พกันให้ไฟแล่บ โดยเฉพาะอีกคนข้างๆ เราเนี่ยะ! คือเข้าใจแหล่ะ เพราะก็เป็นแฟนคลับเหมือนกัน แร๊พตามบ้างก็ไม่แปลก แต่พี่แกเล่นแร๊พทั้งเพลง แถมแร๊พเสียงดังด้วย ดังจนกลบเสียงพี่ไมค์อ่ะ คือกูมาฟังพี่ไมค์โว้ยยย ไม่ได้มาฟังมึ๊งงงง สมาธิเสียสูญไปแป๊ปก่อนจะดึงกลับมาได้ - ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มเดี่ยว Ghosts ที่แฟนเพลงร้องคลอตามไปด้วยเรื่อยๆ แฟนคลับที่ยืนติดรั้วด้านหน้ามีทำหน้ากากรูปพี่ไมค์แบบขำๆ มาใส่ มาถือเรียงกัน พี่ไมค์แกเห็น แกก็ตลก ถึงกับขอมาดู แล้วก็ถามว่านี่ตัวแกเองเผลอไปทำหน้า memes นี้ไว้ตอนไหน ก็พูดคุยกับแฟนคลับไปเรื่อย แล้วก็เลยพูดถึงเรื่องขำๆ ของตัวเองสมัยเด็กเกี่ยวกับตาโตๆ ของแก ที่เคยคุยกับแม่ ว่าตาโตนี่ได้มาจากแม่ ไม่ใช่พ่อนะ เพราะพ่อเป็นคนญี่ปุ่น นึกออกใช่ป่าว? (ล้อพ่อตัวเองไปอี๊ก 555) เล่าไปเล่ามาก็บอกว่าเป็นความลับนะว่าไอ้ตาโตๆ นี้ถูกเปรียบเป็น cow eyes เพราะตอนเด็กบ้านอยู่โซนฟาร์ม ก็เลยถูกเปรียบกับตาวัวซะ 555 (อ้าว!!! โทษๆๆ พี่ไมค์แกบอกว่าเป็นความลับนี่หว่า นี่เผลอพิมพ์ไปละ แฮ่! #PromiseICantKeep) แล้วก็กลับเข้าโชว์ - แร๊พยาวๆ ต่อกับสตอรี่ของเนื้อเพลงนี้ที่ไม่ว่าได้ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกเพลิน เพราะมันเป็นเรื่องเป็นราวดี นั่นก็คือเพลง Kenji - ต่อด้วยเพลง Roads Untraveled (Linkin Park) โบกมือตามจังหวะแล้ว oh oh oh กันยาวๆ ไป หลังจากจบอีก 2 เพลงก็พูดคุยกับแฟนเพลงต่อ พูดถึงเหตุการณ์ช่วงที่ผ่านมา พูดถึงความกังวลที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า พูดถึงการเริ่มต้นเดินทางกับเส้นทางใหม่ที่ตัวเองอยากจะเลือกเดิน พูดถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากแฟนเพลงชาวไทย ตอนที่ได้คุยกับแฟนๆ ตอนมีทแอนด์กรี๊ด ว่าแฟนเพลงคือสิ่งที่ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้พี่ไมค์แกอยากทำนู่นนี่นั่น ก็พูดจามีสาระไปเรื่อยๆ แล้วก็ร้องต่อ - Waiting for the End / Where'd You Go mashup ที่ทำเอาคิดถึงและหวนหาอดีต - และก็ถึงเพลงที่เรากังวลว่าตัวเองจะร้องไห้ป่าววะถ้าเพลงนี้ขึ้น แต่ผิดคาด บรรยากาศมันเปลี่ยน พี่ไมค์แกบิ๊วมือกลอง จากคาดว่าจะเศร้า เลยเป็น ความเอ็นดู คือเรากับเพื่อนพูดกันว่า กลองเล่นได้ไม่ตึ้บเท่าไหร่ (อาจจะเป็นเพราะยังไม่ชิน หรือตื่นเวทีอยู่ เพราะเพิ่งเริ่มออกทัวร์กับพี่ไมค์ได้ไม่นาน ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเพิ่งเห็นพี่ไมค์แนะนำมือกลองคนนี้ว่าจะทัวร์เอเชียด้วยกันที่ไหนซักแห่งเมื่อสัปดาห์ก่อนๆ) ตรงลูปก่อนเข้าท่อนปิด พี่ไมค์แกเลยให้ มือกลองโชว์ซักหน่อย (เหมือนพี่ชายที่ตั้งใจจะบิ๊วให้น้องตีกลองให้มัน) แล้วค่อยกลับเข้าท่อนปิด - และก็เป็นเพลงอีกเพลงที่ดูหลายคนรอคอย ซึ่งก็คือเพลง Crossing a Line ได้ฟังสดและร้องสดพร้อมไปกับไมค์คือดีวววววว ช่วงพีคมาถึง นั่นก็คือช่วงก่อนเข้าเพลง In The End ซึ่งไมค์เกริ่นเข้าเรื่องเกี่ยวกับตอนเด็กที่พ่อพาไปเทศกาลโอบ้ง เทศกาลของญี่ปุ่นที่มีจัดขึ้นในเมืองที่ไมค์อยู่ (ที่อเมริกา) คือตอนนั้นไมค์ชอบไปเพราะจะได้เล่นเกมตามซุ้มต่างๆ ไม่ได้เข้าใจเหตุผลของการจัดงานเท่าไหร่ แต่พอโตขึ้นได้รู้ว่าโอบ้งถูกจัดขึ้นเพื่อระลึก เพื่อเฉลิมฉลองให้กับคนที่ตายไปแล้ว ก็รู้สึกชอบงานนี้ ชอบที่เป็นงานที่ทุกคนไปเพื่อเอนจอย คือไปแสดงความรัก ความคิดถึงต่อคนที่จากไปในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ความเศร้าโศก แล้วก็เลยอยากให้แฟนเพลงทำแบบนั้นให้กับเชสเตอร์เช่นกัน ไมค์บอกว่าเขาคิดว่าเชสเตอร์เป็นศิลปินร็อคที่ดีที่สุดตลอดกาล แล้วแฟนเพลงส่งเสียงดังลั่นฮอลเป็นการสนับสนุนความคิดของไมค์ พร้อมตะโกนชื่อเชสเตอร์! เชสเตอร์! เชสเตอร์! เชสเตอร์! แล้วไมค์ก็ขอให้ทุกคนช่วยร้องท่อนที่เชสเตอร์ร้อง เข้าสู่ช่วงที่บรรยากาศพีคสุดๆ ของคอนเสิร์ตครั้งนี้ - In The End สำหรับโซนข้างหน้า เราไม่ได้สังเกตคนรอบข้างเท่าไหร่ แต่เหมือนทุกคนอดกลั้นน้ำตาด้วยการแหกปากร้องให้ดังที่สุดเท่าที่ตัวเองจะ ทำได้อ่ะ แต่เพื่อนเราที่ซื้อบัตรโซนหลังอีกคนบอกว่าด้านหลังปาดน้ำตากันเพียบ จบเพลงนี้ พี่ไมค์ก็ชมว่าร้องเพราะกันจัง เหมือนซ้อมกันมาแล้วอย่างดี (นั่น! แซวแฟนเพลงอีก 555) ก็พูดคุยกันไปเรื่อยๆ พี่ไมค์แกก็คุยๆ ว่าครั้งนี้มาโชว์ที่ไทยครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ครั้งที่ 5 ใช่มั้ย คือมาในฐานะ Fort Minor ครั้งแรก สมัยยังร้อง feat. กับ 50 Cent แล้วก็แซวตัวเองขำๆ เรื่องแก๊งสเตอร์ แล้วก็มาในฐานะ Linkin Park 3 ครั้ง ส่วนครั้งนี้ครั้งที่ 5 ประเทศไทยคือทำให้เขารู้สึกว่าคนไทยเป็นคนอบอุ่น บลาๆ แล้วก็พูดถึงอาหารไทย พูดถึงข้าวเหนียวมะม่วง บลาๆ มีติดตลกว่าถ้าคอนเสิร์ตจบเร็ว นั่นคือคือแสดงว่าพี่แกหิวนะ แล้วก็ขำเอง บอกว่าแฟนๆ รู้ใช่มั้ยว่าพี่แกไม่มีทางทิ้งเวทีลงไปกินข้าวแบบนั้น เพราะพี่แกสนุกกับการได้อยู่บนเวที (เอ็นดูนางงงงง) - จบบรรยากาศเศร้าๆ ไป พี่ไมค์ก็ค่อยๆ ดึงอารมณ์คนฟังกลับมาด้วยเพลง About You บีทตอนไลฟ์สดดีนะ ตอนแรกกลั๊วกลัวว่าพอเล่นสดจะไม่ตึ้บพอ
- Over Again ก็ตามชื่อเพลง ร้องวนไปเรื่อยๆ พอท่อน Sometimes, sometimes you don't say goodbye once, You say goodbye over and over and over again พี่ไมค์แกก็ส่งไมค์ให้แฟนๆ ร้องไปเรื่อยๆ ถึง verse 2 - แล้วก็เข้าเพลง Papercut แบบสั้นๆ ไม่เต็มเพลง แต่ก็มันได้อารมณ์อยู่ - ต่อด้วยเพลง Make It Up As I Go (feat. K.Flay) - ก่อนจะจบด้วย 2 เพลงก่อนช่วงงกอร์ ซึ่งถือว่าจบได้ดีเพราะเป็นอีก 2 เพลงที่แฟนๆ หลายคนรอฟัง เพลง Good Goodbye กับเพลง Bleed It Out ลงเวทีไปได้ซักพัก พี่ไมค์ก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง ต่อกันรวดเดียวยาวๆ จบ ENCORE - พีคคคคคคคคคคคค พีคที่ร้องเพลงนี้ Petrified พออินโทรเพลงขึ้น เฮกันลั่นเลยจ้าาาาา Drop that! Drop that! กันอย่างเมามัน - I.O.U. โยกๆ ตามจังหวะกันไป - แล้วก็เข้าเพลง Remember The Name แร๊พยาวๆ ต่อจากเพลงที่แล้ว - จบคอนเสิร์ตด้วยเพลง Running From My Shadow คือพี่ไมค์ก็เต็มที่จนเพลงสุดท้าย ลงมาเกาะรั้วร้องกับแฟนคลับ พร้อมตะโกนบอกว่าเพลง สุดท้ายแล้วนะ แล้วก็เดินไฮทัช จับมือแฟนเพลงข้างหน้าไปเรื่อยๆ จนจบเพลงแล้วก็ยังไม่กลับเข้าเวที อยู่ไฮทัชกับแฟนเพลงจนสุดขอบแล้วถึงกลับ เข้าไป หายคิดถึง! เติมพลังให้กันและกันทั้งแฟนเพลงและศิลปิน ถือเป็นการก้าวต่อบนเส้นทางที่ตัวเองรักของไมค์ ที่กำลังค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวได้ดีเลยนะ คือในฐานะที่เราเป็นแฟนคลับก็รู้สึกยินดีกับทางที่พี่เขาเลือกก้าวต่อ อยากสนับสนุนพี่เขาไปเรื่อยๆ แบบนี้แหล่ะ ในส่วนของพี่ไมค์ เราให้ 5 ดาวเต็ม!!! (ต้องมีคนคิดว่า มึงติ่งวงไหนหนักๆ มึงก็อวยเขาหมดแหล่ะ อยู่แน่ๆ ... ก็ถูกอ่ะนะ 555) แต่พี่แกก็มีช่วงเสียงหาย เสียงแหบอยู่บ้าง ซึ่งอยู่ในระดับที่เข้าใจได้นะ (เคยมีตอนจัสติน บีเบอร์ รอบมาไทย รอบนั้นไม่ไหวจริง อยากปามะนาวขึ้นไปให้น้องมันบีบกลั้วคอมากๆ อันนั้นน่ะเรียกเสียงหายจนน่าเกลียดของจริง < นี่เราเป็นแฟนเพลงน้องมันนะ 555) ส่วนเรื่องโปรดักชั่น เราว่าระบบเสียงยังไม่ถึง ยังไม่ตึ้บพอเหมาะกับแนวเพลง แต่ก็ไม่ถึงกับแย่นะ / ระบบแสง อันนี้ให้คะแนนน้อยสุด ไม่รู้ดิ คือทุกคอนฯ อย่างน้อยๆ มันจะมีซักเพลงที่เราว้าว! กับระบบแสง แต่คอนฯนี้ เฉยๆ มาก (หรือมัวแต่โฟกัสกับพี่ไมค์มากไปนะ 555) กิจกรรมหน้างานดูมีอะไรเยอะดี แต่นี่ไปถึงตอน 2 ทุ่มเป๊ะ เดินดุ่มๆ เข้าฮอลไปเลย ไม่ได้แวะทำอะไรทั้งสิ้น จบคอนเสิร์ต Mike Shinoda Of Linkin Park Post Traumatic Tour Live in Bangkok 2018 ด้วยความประทับใจ แล้วดูจากที่พี่ไมค์โพสท์ทั้งในไอจี ในสตอรี่ ในเฟซบุ๊ค ก็ดูพี่แกประทับใจมากโขอยู่ ก็ภาวนาให้มีโอกาสได้ดูพี่แกมาเล่นที่เมืองไทยอีกเรื่อยๆ ต่อไป 10CM Special Concert ‘Moderate Distance in Bangkok’ เป็นศิลปินอินดี้เกาหลีอีกหนึ่งวงที่มีผลงานมายาวนานและแฟนเพลงอินดี้ต่างรอคอยกับ "ซิบเซนจิ" (10CM) ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงควอนจองยอลที่รับหน้าที่เป็นนักน้องนำและเล่นกีตาร์ แต่คอนเสิร์ตทัวร์เอเชียครั้งแรกของเขาที่เมืองไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มิ.ย. 2018 ที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจองยอลอ๊ปป้าเอาอยู่! ถึงแม้บรรยากาศคอนเสิร์ตจะเงียบเหงาไปหน่อยเพราะเป็นช่วงที่ศิลปินต่างชาติแห่กันมาเมืองไทย แต่จองยอลก็สามารถทำให้บรรยากาศในวันที่ฝนตกนั้นอบอุ่นและมีรอยยิ้มได้ด้วยน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์และความยียวนของตัวอ๊ปเอง คอนเสิร์ตจัดที่ GMM Livehouse "CentralWorld ซึ่งเริ่มช้ากว่าเวลา 19.00 น. นิดหน่อย เปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลงเศร้าๆ อย่างเพลง Nothing Without You ที่แสงในฮอลมืดลง มีเพียงสปอร์ตไลท์จางๆ ยิงไปที่จองยอลที่ยืนร้องและเล่นกีตาร์อยู่ VCR ด้านหลังเป็นเนื้อเพลงประกอบ ถือเป็นการเปิดเวทีได้แบบดึงอารมณ์ให้จดจ่อได้สุดๆ ต่อด้วยเพลงจังหวะกลางๆ จากอัลบั้ม Life คือเพลง 오늘밤은 어둠이 무서워요 ให้พอโยกได้เบาๆ น่ารักๆ ไปตามจังหวะเจมเบ้ จบ 2 เพลงแรกก็ทักทายแฟนเพลงด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ (สุดๆ) พร้อมทักทายด้วยภาษาไทยที่จดมาอย่างดีในโพย (555) เห็นอาการมือสั่นเล็กน้อย "สวัสดีครับ ผมซิบเซนจิ ควอนจองยอลครับ มาเมืองไทยครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นครับ มีเพลงดีๆ เตรียมไว้ให้ด้วยนะครับ"... จบแนะนำตัวและพูดคุยต่ออีกเล็กน้อย ก็เข้าเพลงที่ 3 เพลงน่ารักๆ ที่แฟนเพลงหลายคนชอบกัน เพลง 죽겠네 (So Nice) It's so nice, so nice, so nice ♬ เสียดายที่รอบนี้จองยอลไม่ได้โชว์ตอนใช้เครื่องเป่าด้วย แล้วก็ต่อด้วยเพลงน่ารักๆ อีกเพลง 사랑은 은하수 다방에서 (Love In The Milky Way Cafe) *เตรียมใจอ่านคำว่า "น่ารัก" ได้เลย มาอีกเยอะ 555 ต่อจากมิลค์กี้เวย์ก็เป็นเพลงที่ใครหลายคนต้องรู้จักเพราะเอ็มวีที่ได้หนุ่มฮอตสุดน่ารักอย่างยูซอนโฮมาเล่นเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอให้อย่างเพลง PET ที่มือเจมเบ้ย้ายตำแหน่งมาเล่นกลองชุดแทน ซาวนด์ดนตรีให้ฟีลเหมือนขบวนพาเหรดในสวนสนุกเลยล่ะ จองยอลก็เดินโยกไป เต้นไป นี่ก็มองรอยสักที่แขนบนมอนิเตอร์เพลินเลย จบไป 5 เพลง จองยอลก็บอกว่าเพลงต่อไปจะเป็น 3 เพลงที่เขาเลือกและคิดว่าเป็นเพลงที่น่ารักที่สุดของซิบเซนจิ เริ่มด้วยเพลง 별자리 แสงเวทีเพลงนี้สวยมากกกก ชอบมากกกกเพราะแสงเป็นสีน้ำเงินสีเดียวกับ VCR ที่เป็นท้องฟ้าบรรยากาศค่ำคืน มีดาวให้นั่งดูเพลินๆ จองยอลร้องไปด้วยเล่นกีตาร์ไปด้วย นี่ถ้าได้นอนตักอ๊ปไปด้วย ฟังเพลงนี้ไปด้วย ก็นิพพานความเป็นติ่งได้เลยล่ะ อิ! พอจบเพลง 별자리 จองยอลก็หยิบเอาเพลงที่ feat. กับศิลปินคนอื่นๆ มาร้องให้ฟังกันสั้นๆ ทั้งเพลง 덕수궁 돌담길의 봄 ที่ร้องกับยุนอา (Girls' Generation) หรือเพลงใหม่ล่าสุดที่ร้องกับจุนฮยอง (Highlight) "소나기" ร้องให้ฟังพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าเพลงที่ 7 คือเพลง 그게 아니고 จากอัลบั้ม 1.0 แล้วต่อด้วยเพลงที่จองยอลบอกว่าปกติต้องร้องกัน 2 คน เป็นเพลงที่เขาแต่งและร้องร่วมกับ CHEN (EXO) แต่เพราะเฉินไม่ได้มา เขาต้องร้องคนเดียว ก็จะพยายามให้เต็มที่ถึงแม้จะตื่นเต้นมากๆ ก็ตาม...นั่นก็คือเพลง Bye Babe ที่แฟนๆ ส่งเสียงเชียร์กันสุดฤทธิ์ (ด้วยความที่อ๊ปบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้ส่งเสียงให้กับเพลงนี้ดังๆ ด้วย) จบเพลงแบบหอบขึ้นคอ หายใจกันไม่ทัน อ๊ปถึงกับต้องขอหยุดพักหายใจแป๊ป 555 แล้วจองยอลก็หยิบโพยขึ้นมาอ่านบอกว่าอยากจะแนะนำเพลงเป็นภาษาไทยสั้นๆ ว่า "เพลงต่อไปเป็นเพลงสำคัญนะ เพราะเป็นเพลงที่เซ็กซี่มากครับ แสงไฟจะเป็นสีแดงทั้งหมด" (นี่คือสั้นๆ ฮ่าาาา) แล้วก็ขึ้นเพลง KING STAR ที่เอ้ออออ ก็เซ็กซี่จริงๆ น่ะแหล่ะ เซ็กซี่ด้วยทำนองเพลงเอง โดยที่อ๊ปไม่ต้องเต้นท่าเซ็กซี่หรือถอดเสื้อโชว์พุงแต่อย่างใด โดยเฉพาะท่อนที่ขึ้นเสียงสูงแตะเพดานท่อนนั้น แล้วก็ต่อด้วยเพลง Beautiful ที่เสียงอ๊ปเซ็กซี่ไม่แพ้อีกเพลงและเพลงจากซีรีย์เรื่องฮิตอย่างเพลง My Eyes (내 눈에만 보여) จากเรื่อง Goblin ที่เสียงกีตาร์โปร่งเพลงนี้น่ารักน่าฟังมากๆ ต่อด้วยเพลงที่อ๊ปหยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาดีดเองอีกเพลง คือ 짝사랑 (Crush) ดึงอารมณ์จากน่ารักๆ ลงมาเป็นเพลงช้าอีกรอบ ถือเป็นคอนเสิร์ตที่ setlist สลับอารมณ์ไปเรื่อยประหนึ่งคนเป็นไบโพลาร์มากๆ ซึ่งจองยอลก็พูดเองเช่นกันว่าเซ็ทลิสต์คอนฯตัวเองตลกดี แล้วพอจบเพลงช้า ก็เข้าเพลงจังหวะสดใสน่ารักและเป็นเพลงที่เราชอบอีกเพลง คือเพลง 안아줘요 (Hug Me) อ๊ปสอนให้ทุกคนอังกอร์ท่อน 안아줘요 ก่อนจะเริ่มด้วยล่ะ น่าร๊ากกกกก แฟนๆ ก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ร้องไป ยิ้มไป อบอุ่นนนน แล้วพอจบเพลงกอดฉันหน่อย ก็เป็น 폰서트 (Phonecert) และ 봄이 좋냐?? (What The Spring??) เพลงนี้กล้องจับไปที่แฟนคลับและก็เล่นกับแฟนคลับด้วย ทำเอาหลายคนเขินอายจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว แบบขนความน่ารักมาเป็นเซ็ท ร้องยาวเป็นชุดให้ได้ยิ้มจนหน้าบานกันไปเลย :)) แล้วพออ๊ปเห็นทุกคนมีความสุขดีก็ขัดอารมณ์ด้วยการบอกว่าเพลงต่อไปที่จะร้องนั้นเป็นเพลงที่เศร้าที่สุด! (ได้! อ๊ปด้ายยยยย) นั่นก็คือเพลง 스토커 (Stalker) เป็นเพลงแอบรักที่เศร้าดีสำหรับคนที่ชอบแอบรัก... และใช่จ้ะ พี่เขาตัดอารมณ์อีกแล้ว เขาตัดอารมณ์ด้วยเพลงสไตล์เรกเก้ที่ร้องกับฮาฮาไว้ คือเพลง 죽을래 사귈래 แต่ชอบเสียงคีย์บอร์ดเพลงนี้นะ แล้วก็ต่อด้วยเพลงที่เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ได้เสียงดังทีเดียวกับเพลง 아메리카노 (Americano) ที่คนไม่ดื่มกาแฟอย่างเรายังชอบเลย จบเพลงนี้จองยอลก็บอกว่าเพลงต่อไปจะเป็นเพลงสุดท้ายแล้ว และพูดภาษาไทย (เรียกว่าอ่านโพย จะดีกว่า) "เพลงต่อไปเป็นเพลงสุดท้ายครับ เป็นคอนเสิร์ตที่ไทยครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นมากครับ ขอบคุณที่มาหากัน จะมาบ่อยๆ ครับ (กรี๊ดดด) และจะเตรียมเพลงมาให้เยอะๆ ครับ ขอบคุณครับ" แล้วซาวน์ดนตรีก็ขึ้น อ๊ปร้องท่อนแรกเพลง 밤편지 ของไอยูจ้าาาา ก็นึกว่าจะร้องเต็ม ป่าวววว ร้องเพื่อเข้าเพลงตัวเอง ซึ่งคือเพลง 쓰담쓰담 นั่นเอง แฟนเพลงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการร้องคลอตามไปด้วย จบไป 20 เพลง+ ก่อนเข้าช่วง ENCORE ซึ่งอ๊ปเดินลงมาเซอร์ไพรส์ด้านล่างโดยการเดินมาร้องตรงกลางระหว่างโซน 3,500 กับ 2,500 แฟนๆ นี่โดนพลังทำลายล้างจากรอยยิ้มของอ๊ปไปตามๆ กัน
เริ่มเพลงแรกช่วงอังกอร์ด้วยเพลง 애상 (Sorrow) เดินลงจากเวทีมา ร้องไปด้วย จับมือแฟนๆ ไปด้วย ฟินกันทั่วหน้า แล้วพอนั่งประจำที่ได้ก็หมุนตัวถามแฟนๆ ว่ามีเพลงไหนที่เขายังไม่ได้ร้องแต่อยากฟังกันมั้ย แฟนๆ ก็ขอเพลงกันใหญ่ อ๊ปก็จัดให้สั้นๆ หลายเพลงทั้ง HELP, Good Night, Everything, Island ก่อนจะปิดเวทีด้วยเพลงเพราะๆ เพลงสุดท้ายที่แฟนๆ ตะโกนขอแต่อ๊ปจัดให้ไม่ได้ เพราะมันคือเพลงปิดนั่นเอง กับเพลง Fine Thank You and You ที่แฟนๆ ช่วยกันร้องทูรึรึนกันจนจบเพลง จบคอนเสิร์ตด้วยความอบอุ่นและประทับใจ โซน 3,500 บาทก็ได้ไฮทัช ถ่ายรูปด้วย ฟินๆ กันไป ก่อนอ๊ปจะย่องออกมาถ่ายรูปกับป้ายโปรโมทคอนเสิร์ตตัวเองข้างนอก เป็นคอนเสิร์ตที่โปรโมทค่อนข้างน้อย แฟนๆ บางส่วนเลยอาจจะไม่รู้ว่ามา คนดูเลยไม่เต็มฮอล แต่จองยอลคือเต็มที่ นักดนตรีเต็มที่ VCR เสียงและแสงโอเคเลย ช่วยเพิ่มบรรยากาศแต่ละเพลงได้ดี แต่ก็จะมีช่วงที่ไฟทั้งแผงยิงมาทางคนดู คนแพ้แสงอย่างเรานี่ทำไรไม่ได้นอกจากนั่งหลับตาเลยจ้าาาาา แสงมันจ้าเกินอ่ะ โดยรวมคือประทับใจกับอ๊ป กับวง กับรอยยิ้มและรอยสักของอ๊ปมากๆ ถ้ามีโอกาสมาไทยอีก ก็จะไม่พลาดแน่นอน ;) Standing Egg Dramatic Tour 2018 in Bangkok Standing Egg หรือวงที่ใครๆ หลายคนเรียกกันว่าวง "คุณไข่" วงอินดี้ ฟังสบายๆ ซึ่งหลายๆ เพลง เนื้อหาก็จะหวานๆ ถึงขั้นเลี่ยนหน่อย แต่อีกหลายเพลงก็เป็นเพลงความหมายดีๆ ที่ให้กำลังใจ และทุกๆเพลง จังหวะ ท่วงทำนอง เมโลดี้จะทำให้คนที่ฟังรู้สึกผ่อนคลายได้เสมอ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราชอบฟังเพลงของวงคุณไข่มาตลอดระยะเวลา 9 ปี เราไม่ได้เป็นแฟนคลับขั้นสุดพลัง แต่ทุกครั้งที่คุณไข่ปล่อยเพลงใหม่ๆ ออกมานั้น จะรู้สึกดีใจ และอบอุ่นทุกครั้ง รู้สึกเหมือนเราได้เห็นเพื่อนปล่อยผลงานดีๆ ออกมาให้คนอื่นได้ฟัง ได้รู้จักมากขึ้น และตลอดระยะเวลา 9 ปีที่ลุ้นให้ Standing Egg มาไทยนั้น... ในที่สุดพวกเขาก็มาพร้อม กับทัวร์ล่าสุด "Dramatic Tour" หลังจากที่รู้จักวงคุณไข่ได้ซักพัก คลิปนี้และเพลงนี้คือเพลงที่ทำให้เราตกหลุมรักวงนี้อย่างจัง ซึ่งตอนนั้น Clover ยังไม่เซ็นต์สัญญากับค่ายเพลง เลยจะเห็นซอกวอนมาร้องให้วงคุณไข่บ่อยๆ จนรู้สึกเหมือนนางเป็นเมมเบอร์อีกคนเลยล่ะ และอีกอย่างคือรู้จักวงอินดี้เยอะมากขึ้นเพราะ Standing Egg และ Indie2Go เนี่ยแหล่ะ ตอนที่ SSS ประกาศเรื่องคอนเสิร์ต บอกเลยว่าดีใจแบบ...ยิ้มหน้าบานอ่ะ แต่พอเห็นวันเริ่มขายบัตร คำแรกที่อุทานออกมาคือ "ฉิบหาย!" วันขายบัตรตรงกับวันที่เพิ่งไปเที่ยวและเป็นวันที่จะถึงเกาหลีพอดี คือบัตรขาย 10 โมงเช้า ถึงเกาหลี 8 โมงเช้า ฉิบหายละ ทำไงดี สุดท้ายก็จองกันบนรถไฟตอนกำลังนั่งไปที่พักที่เกาหลีน่ะแหล่ะ ลุ้นมาก เพราะบัตรก็ต้องจอง สถานีต่อไปก็ต้องลง กระเป๋าก็ต้องลาก ไอ้บ้าาาาา แล้วก็ได้ AA24 แถวหน้ามาอยู่ในมือให้อุ่นใจ :) fast foward มาที่วันงานกันเลย Standing Egg Dramatic Tour 2018 in Bangkok หลังจากรับริสแบนด์ โปสเตอร์ และซื้อซีดีอัลบั้มล่าสุดเรียบร้อยแล้ว นั่งเล่นกันข้างนอกซักพักก่อนจะเข้ามานั่งรอข้างใน คอนเสิร์ตเริ่ม 19.00 น. นิดๆ หลังจากทุกอย่างพร้อม สต๊าฟก็ส่งสัญญาณโอเคให้กับทีม แล้วไฟก็ค่อยๆ หรี่แสงลง ก่อนที่สมาชิกจะทยอยเดินขึ้นมาบนเวที เปิดเวทีด้วยเยซึล เจ้าของเสียงร้องเพราะในหลายๆ เพลงของ Standing Egg - เปิดเวทีด้วยเพลง 햇살이 아파 ที่ออริจินัลเป็นฮันโซฮยอนร้องไว้ พื้นเสียงของเยซึลจะแหลมกว่าโซฮยอนหน่อย แต่เยซึลก็ร้องได้เพราะไม่แพ้กันเลยล่ะ อารมณ์ก็ถ่ายทอดได้ดี อาจจะตื่นเต้นนิดๆ ตอนแรก แต่ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เพลง 햇살이 아파 เป็นเพลงช่วงปีแรกๆ ที่ต้องเปิดวนฟังตลอดเพลงหนึ่ง วันนี้ได้ฟังไลฟ์แล้ว นี่นั่งฟังไป ร้องคลอตามไป อมยิ้มไป สมาชิกวงหลายๆ คนยังดูประหม่ากับเพลงแรกอยู่ อย่างเจ้าเยนีนี่ ที่อาการออกให้เห็นชัดสุด 555 แต่ฮานานี่ สมาธิมาเต็มมาก เต็มจนไม่ค่อยยิ้ม คนนั่งหน้าสุดอย่างเราพอสบตากับฮานาถึงกับเกร็ง แต่มองฮานาเล่นดนตรีนี่คือเพลินจริงๆ นะ ดูตั้งใจสุดๆ เลย - ทักทายแฟนเพลงเสร็จก็ต่อด้วยเพลงน่ารักๆ เหมาะกับเยซึลอย่าง 있잖아 궁금해 ที่น้ำเสียงและรอยยิ้มของเยซึลทำเอาเคลิ้มเลยล่ะ โดยเฉพาะท่อนฮุค ท่อนแรก baby just come to me 눈치만 둘 다 살피다가 มีความเสียงแหบนิดๆ ลากยาวตอน baby just come... to me โอยยยย ดี! - จบเพลงน่ารักๆ ไป เยซึลก็พูดคุยชวนเข้าเพลงเศร้าอย่าง 사랑의 계절 กันบ้าง ดึงอารมณ์ลงมาให้ดำดิ่งกับเสียงกีตาร์คลอกับเสียงของเยซึล - ต่อกันด้วยเพลงที่เยซึลบอกว่าชอบมากที่สุด คือเพลง 뚝뚝뚝 ก็คงจะชอบมากจริงๆ เดินร้องไป ยิ้มไป ดูมีความสุขที่ได้ร้องเพลงนี้ จังหวะที่มาร้องด้านหน้า แล้วยิ้มให้เนี่ยยยย เขินเลย (>////<) - หลังจากจบ 뚝뚝뚝 เยซึลก็บอกว่าเพลงต่อไปเป็นเพลงสุดท้ายของเธอแล้ว แฟนๆ ก็ออกอาการง้องแง้งนิดๆ ไม่อยากให้ลง เยซึลก็เลยบอกว่า ที่จริงก็อยากจะร้องต่อ แต่มีนักร้องคนต่อไป (ซึ่งก็คือคุณไข่หมายเลข 2) รอขึ้นเวทีต่ออยู่ ปิดรอบของเยซึลด้วยเพลง 넌 이별 난 아직 จัดมาให้ 5 เพลงยาวๆ กันไป ก็ถือว่าดึงเพลงจากอัลบั้มแรกๆ มาร้องเยอะทีเดียว และด้วยความที่นั่งเอียงมาทางฝั่งขวาก็เลยจะเพลินกับการนั่งดูฮานาเล่นเจมเบ้กับเพอร์คัชชั่นมากเป็นพิเศษ ❤ พักให้หายใจกันแป๊ปนึง คุณไข่หมายเลข 2 ก็เดินขึ้นมาบนเวที แนะนำตัวว่า "ผมคือคุณไข่หมายเลข 2 ครับ" เสร็จก็จัดเพลงที่เราคิดว่าเป็นโปรดจากอัลบั้ม Lucky ของใครหลายๆ คนเลยล่ะ - Little Star เนื้อเพลงหวานๆ เสียงกีตาร์โปร่งคลอเบาๆ กับฉากไฟด้านหลังที่เหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ได้แต่นั่งโยกตัวเบาๆ อมยิ้มไปกับเพลงดีๆ เพลงนี้ ...밤새 내가 지켜줄 거야 ☆☆☆ - ต่อจากเพลงเคลิ้มๆ สบายๆ ก็เป็นเพลงใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา และเล่นที่นี่เป็นที่แรกกับเพลง 소확행 คุณไข่ก็แอบตลก บอกว่าเพลงไหนที่ร้องเป็นครั้งแรก มักจะลืมเนื้อ ถ้าลืมก็ขอโทษด้วยนะ แล้วก็ลืมจริง แอบมีดำน้ำนิดๆ อยู่ท่อนนึง 555 - คุณไข่ถามว่าปกติทุกคนดูซีรีส์เกาหลีมั้ย (อยากจะตะโกนขึ้นไปว่า ไม่ดู แต่เกรงใจ 555) และเหมือนคุณไข่ก็อารมณ์เดียวกับเรา คือปกติไม่ดู แต่จะดูถ้าวงตัวเองร้องเพลงประกอบ 555 เพลงที่ร้องต่อก็คือเพลงประกอบเรื่อง 맨투맨 เพลง 마음의 지도 ลายแทงหัวใจ - แล้วก็ต่อด้วยเพลงน่ารักๆ ประกอบละครเรื่อง 힘쎈여자 도봉순 เพลง 어떨까 ฟังไป แฟนเพลงก็โยกตัวไป โบกมือตามคุณไข่กันไป จบจาก 어떨까 ก่อนจะเข้าเพลงต่อไป คุณไข่ก็พูดถึงคนเกาหลีว่าคนส่วนใหญ่ เวลาที่เขาถามว่ามีความสุขกันมั้ย จะตอบว่าไม่มี เขาเลยอยากจะแต่งเพลงนี้ให้กับทุกคนที่กำลังเหนื่อยล้า และไม่มีความสุขเพื่อเป็นกำลังใจให้ แล้วก็เข้าเพลงต่อไป - VOICE ... ท่อนแรกๆ ก็ร้องตามได้สบายๆ น่ะนะ ฟังไปซักพัก เริ่มละ เริ่มจุกคอ น้ำตาเริ่มรื้น หน้าเริ่มสั่น อยากปล่อยโฮมากๆ แต่กลัวจะร้องไม่หยุด แล้วจะถึงขั้นสะอื้นเอา ได้แต่นึกในใจว่าทำไม เพลงแม่งเพราะ แม่งกินใจได้ขนาดนี้วะ (นี่นั่งพิมพ์อยู่ ฟังเพลงนี้อยู่ ก็น้ำตาไหลไป พิมพ์ไปนะ) คือไลฟ์เมื่อคืนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของคนแต่งเพลงนี้เลยอ่ะ ฮืออออออ T^T (ไม่เอาแล้ว เราจะไม่พูดถึงเพลงนี้ เราจะไปที่เพลงต่อไปเลย ไม่งั้น ร้องไม่หยุดแน่ๆ) - เปลี่ยนอารมณ์จากเพลงกินใจ มาเพลงน่ารักๆ อีกเพลง ซึ่งคุณไข่ก็แอบตลกอีกละ บอกว่าเพลงพวกเราส่วนใหญ่เป็นเพลงสบายๆ ไม่ได้สนุกสนานใช่มั้ย? แล้วก็ตอบว่า ก็จริงน่ะแหล่ะ (ถามเองตอบเอง 555) งั้นก็มาต่อด้วยเพลงสบายๆ อีกเพลง คือ 너라면 괜찮아 ชอบเนื้อเพลงนี้มากๆ คือมันคิ้วๆ น่ารักๆ คืออารมณ์แบบแค่เป็นเธอ อะไรก็ได้ แบบเนี้ย! คุณไข่ก็เดินไป ร้องไป ส่งฮาททึให้แฟนๆ ไป น่ารักๆ - ก่อนจะต่อด้วยเพลง 들어줄래 คุณไข่ก็มีมิชชั่นชวนทุกคนลุกขึ้นมายืนโยก คือถ้าคุณไข่จับแว่นตา ให้ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วโยกไปด้วยกัน แล้วคุณไข่ก็บอกว่าจะพยายามเล่นใหญ่ๆ นะ จะได้ไม่สับสนกับเวลาแว่นไหลเลยต้องจับ แบบนั้น (แอบตลกตล๊อดดด 55) แฟนๆ ก็ให้ความร่วมมือดีนะ ลุกขึ้นยืนโยกกันจนจบเพลง - ต่อด้วยเพลงจากอัลบั้มใหม่ Dramatic อีกเพลง 네 생각 나더라 เพลงสบายๆ ที่ก็ยังคงโยกตามได้เพลินๆ พอจบเพลง ระหว่างที่คุณไข่กำลังพูด แฟนๆ ก็เริ่มทยอยนั่ง คุณไข่ก็แบบ อ้าวนั่งแล้วเหรอ เชิญๆๆ แต่ถ้าใครอยากลุกขึ้นมาโยกก็ลุกได้เลยนะ หรือเดี๋ยวอาจจะจับแว่นส่งสัญญาณให้ลุกอีกนะ - และก็ถึงเพลงน่ารักๆ อีกเพลงที่เราชอบความุ้งมิ้งนี้ที่สุด กับเพลงสายรุ้ง 무지개 ที่คุณไข่แอบเกริ่นว่าน่าเสียดายที่ 윤닭 ไม่ได้มาด้วย เลยไม่มีใครแร๊พ แต่คุณไข่ก็แสดงพลังด้วยการบีทบ็อกซ์แทน เก๋ไปอีก คือเป็นเพลงที่ร้องไป ภาพรุ้งกินน้ำผุดขึ้นมาในหัวไปด้วยเลย - เพลงนี้ พอคุณไข่พูดชื่อเพลง แฟนๆ ที่ดูละครก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ 데리러 갈게 ชอบเสียงคุณไข่เพลงนี้มากๆ ช่วงท่อนก่อนเข้าฮุคที่แบบ โอ...นึล! 어제보다 오...늘 오늘보다 내...일 ท่อนนี้อ่ะ - ต่อกันเลย! เสียงผิวปากคลอเสียงกีตาร์กับเพลงนี้คือดีมากๆๆๆๆๆ เป็นเพลงที่ฟังทีไรก็ยิ้มได้ทุกทีกับเพลง Miss Flower จากอัลบั้ม Ambler นั่นเอง ...oh please come oh please come ❤ - Keep Going เพลงที่ให้กำลังใจได้แบบคิ้วๆ ก่อนขึ้นเพลงคุณไข่ก็ขอให้ช่วยกันร้องด้วยนะ เพราะเชื่อว่าทุกคนจะร้องท่อนลา ลา ลา ได้แน่นอน มีช่วงที่คุณไข่ส่งจังหวะให้กีตาร์ด้วย คือเห็นเลยว่าใส่ใจนักดนตรีในวง แฟนเพลงก็ให้ความร่วมมือร้องลา ลา ลา กันหลายรอบจนคุณไข่พอใจเค้าล่ะ - ต่อด้วย cover ที่ก่อนเริ่มเพลง คุณไข่ก็พูดว่าเพลงต่อไปจะเป็นเพลงที่ดังไปทั่วโลก ทุกคนจะต้องรู้จัก แล้วก็ฮัมเพลงนิดๆ แต่ทุกคนยังงงอยู่ คุณไข่เลยถามว่า อ้าว! ไม่รู้จักกันเหรอ ก่อนจะเริ่มร้อง Just The Way You Are ของ Bruno Mars สงสัยเห็นทุกคนร้องได้ จบเพลงคุณไข่เลยแอบหยอกว่าทุกคนควรไปดูคอนเสิร์ต Bruno Mars นะ - เพลงถัดมาก็คือ lalala ที่หลายคนรอฟังและรอร้องคลออยู่นั่นเอง ชอบจังหวะกลองของฮานาเพลงนี้มากๆ - ปิดท้ายด้วย 그래 너 ก่อนช่วงอังกอร์ ตอนที่คุณไข่บอกจะร้องเพลงนี้ยังไม่มีสติดีพอ แต่พอทำนองขึ้น กรี๊ดบ้าบออยู่คนเดียวเลยจ้า คือชอบเพลงนี้มากกกกกกก และไม่คิดว่าจะได้ฟังเพลงนี้ในคอนฯรอบนี้ ร้องคลอทั้งเพลง อมยิ้มหน้าบานเลยจ้า *ชอบเอ็มวีนี้มากๆ ด้วย ทุกคนน่ารัก ก่อนปิดท้ายและลงเวที คุณไข่ก็แอบถามว่าอยากฟังเพลงไหนที่เรายังไม่ได้เล่นไปมั้ย แฟนๆ ก็ตะโกนชื่อเพลงกันใหญ่ คุณไข่เลยแอบจัด Nobody Knows แบบสั้นๆ ครึ่งเพลงให้ แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะเดินลงเวทีนะ แล้วให้ทุกคนส่งเสียงอังกอร์นะ แล้วเราจะกลับขึ้นมาใหม่ ทำแบบไม่ได้นัดกันไว้นะ (ยัง! ยังตลกต่ออีก 555) แต่พอลงเวทีไป ยังไม่ทันอังกอร์ดีๆ เลย ก็กลับขึ้นมาเพื่อแจกกระเป๋าผ้าให้แฟนๆ กัน 5 คน เป็นช่วงเวลาที่น่ารัก และขำดี แฟนๆ ก็ขำ นักดนตรีบนเวทีก็ขำ - เข้าสู่ 2 เพลงสุดท้ายกับเพลงที่คุณไข่บอกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เหมาะกับฤดูร้อนมากๆ โรแมนติกดี แล้วก็ติดตลกว่าเป็นเพลงที่เหมาะกับเมืองไทยมากๆ นะ เพราะร้อนตลอด ก็จะโรแมนติคได้ตลอด ฮ่าาาา เพลง 여름밤에 우린 นั่นเอง ไฟดิสโก้ตอนเพลงนี้คือดี สวยงามมม คุณไข่พูดถึงแฟนๆ ที่เมืองไทยว่า พอพวกเขาเริ่มมีเพลง ก็มีแฟนๆ คนไทยเนี่ยแหล่ะที่ฟังเพลงพวกเขาเป็นประเทศแรก การที่พวกเขาได้มาเจอพวกเราในวันนี้ก็เหมือนกับการได้มาเจอเพื่อนที่รู้จักกันมานาน จำหน้าแฟนๆ หลายๆ คนที่ติดตามพวกเขามาตลอดได้ด้วยนะ แล้วก็ชวนทุกคนทำมิชชั่นว่าเที่ยงวันอาทิตย์ให้ทุกคนอัพรูปอาหารมื้อเที่ยงที่ตัวเองกิน แล้วใส่แฮชแท็ก #standingeggthailand ของรางวัลคือ...เดี๋ยวพวกเขาจะไปคอมเม้นท์ใต้รูปนั่นเอง ทุกคนถึงกับหลุดขำ แล้วคุณไข่เลยพูดต่อว่าก็ไปคอมเม้นท์ แล้วนั่นก็ถือว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วไง ผลคือวันนี้ตอนเที่ยงแฮชแท็ก #standingeggthailand เต็มไปด้วยรูปภาพอาหารมากมาย นี่ตื่นมาตอนเที่ยง เข้าไปดู ถึงกับหิวเลยจ้า!!! - เพลงสุดท้ายนึกว่าจะปิดด้วยเพลง 별의 조각 แต่ไม่ใช่จ้า วงปิดด้วยเพลง 오래된 노래 คือตอนคุณไข่ร้องสด ไม่มีไมค์ ไม่มีดนตรี คือขนลุกกกก ประทับใจมากๆ จบได้แบบ...นี่แหล่ะ!!! Standing Egg วงที่เรารอคอย เรียกได้ว่าแบกความสุขกลับบ้านกันไปเต็มกระเป๋าอย่างที่คุณไข่หวังไว้ (คุณไข่แอบเขียนคาราโอเกะคำว่า "ผมมีความสุขมากครับ" กับ "ไว้เจอกันครับ" ไว้ที่แขนด้วย น่ารักไปอีก) เติมพลังให้กับชีวิตได้ดีหลังจากสู้กับงาน กับเรื่องต่างๆ มาได้จนถึงกลางปี ❤ สำหรับ setlist ตอนแรกคิดว่าจะขนเพลงจากอัลบั้มใหม่มาเล่นเยอะ แต่ผิดคาด ได้ฟังเพลงเก่าๆ ที่อยากฟังเต็มไปหมด ส่วนเรื่องเสียง และแสง ด้วยความที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด ทุกอย่างเลยออกมาดีมากๆ แต่เห็นน้องที่นั่งโซนหลังบอกเสียงเบา อาจจะเพราะไม่ได้มีลำโพงเซอร์ราวด์น่ะนะเราว่า แต่อยู่ตรงไหนก็ประทับใจกับบทเพลงของคุณไข่ได้อย่างเต็มที่นะเราว่า เพราะทุกคนรอคอยมานานมากจริงๆ แต่ๆๆ ก็มีเพื่อนเราหลายคนที่พอเห็นเราโพสท์รูปจากคอนเสิร์ตแล้วถึงกับตกใจ เพราะไม่รู้ว่าวงจะมาเล่นที่ไทย น่าเสียดายแทนเหมือนกัน ครั้งหน้านี่ ต้องไล่บอกทุกคนละ :) สุดท้ายนี้ ขอบคุณ SSS ที่ทำให้ความฝันของหลายๆ คนรวมถึงเราเป็นจริง พา Standing Egg มาหาพวกเราถึงเมืองไทยได้สำเร็จ และหวังว่าจะพาพวกเขากลับมาอีกในปีหน้า และปีต่อๆ ไปนะคะ (wink wink) ฝากบอกน้องล่ามด้วยว่าครั้งหน้านอนมาให้พอด้วยนะ น้ำเสียงโมโนโทนเหลือเกิน (แซวววว) *รีวิวนี้อาจจะมีช่วงที่ข้อมูลพลาด เนื่องด้วยเราขาดสติ มัวแต่อินกับไลฟ์อยู่ และจดไว้แค่ลิสต์เพลงที่เล่น ไม่ได้จดสถานการณ์ไว้ เลยอาจมีบางช่วงที่เรียงลำดับสลับกันนะ นี่ก็พยายามเค้นให้ได้มากที่สุดละ แฮ่ มีอะไรผิดพลาด ตกหล่น ขอโทษด้วยน้า ชี้แนะได้ เราจะยินดีมากๆ หลังจบคอนเสิร์ต คุณไข่หมายเลข 2 และเยซึลก็ออกมานั่งแจกลายเซ็นต์ให้กับแฟนๆ โซน A กันต่อ เลยมีโอกาสได้ให้ขนมที่เราชอบกินกับคุณไข่ไป ตอนที่คุณไข่ เยซึลแล้วก็สต๊าฟเห็นก็แอบตกใจกับขนาดของถุงเบาๆ 555
|