ช่วงอัลบั้ม Supermodel ของ Foster the People เรียกว่าเป็นอัลบั้มที่ทำให้อยากดูไลฟ์ของวงนี้เอามากๆ เห็นไลน์อัพงาน Fuji Rock Festival 2014 มีฟอสเตอร์ฯด้วย ก็กระวนกระวายสุด แต่หมุนเงินไม่ทัน ก็ชวดงานนั้นไป และเซอร์ไพรซ์ยิ่งกว่าคือเพื่อนที่ชอบเหมือนกัน หายตัวไป โพสท์รูปอีกทีมาจากเวทีที่ฟูจิร็อค ตอนที่เห็นโพสท์นี่ก็ ร้อง เ-ี้ย! เสียงดังมากบนรถเมล์ จนคนข้างๆ หันมามองหน้าไปทีนึง ^^; แล้วเพื่อนก็กลับมาบอกว่า "มึงต้องดูวงนี้ให้ได้!" ผ่านอัลบั้ม Supermodel มา ด้วยความแอบเสียใจเบาๆ ว่าไม่ทันได้ดูไลฟ์ที่มี Cubbie Fink สมาชิกร่วมก่อตั้งวงเล่นเลย จนปลายปี 2016 ที่เห็นประกาศไลน์อัพ Mad Cool Festival ที่ Madrid นาทีนั้นรีบหมุนเงินเลย แล้วก็จองบัตรตอนต้นปี 2017 เพื่อจะได้ดู Foster the People ตอนก.ค. และได้ฟังข่าวดีกับการปล่อยอัลบั้ม Sacred Hearts Club พอดี เลยยิ่งดีใจใหญ่เพราะจะได้ฟังเพลงใหม่ด้วย และหลังจากวันนั้น วันที่ได้ดู Foster the People ที่สเปนซึ่งสนุกมากกกกกกกกก ก็ตั้งใจจะดูวงนี้ให้ได้อีกหลายๆ ครั้งถ้ามีโอกาส ตัดภาพกลับมาที่เมืองไทย ตอนที่ THE VERY COMPANY ประกาศว่าฟอสเตอร์ฯจะมา รีบนัดแนะกับเพื่อนเพื่อจองบัตรวันแรกให้ได้ แล้วก็ได้บัตรราคาปกติมาครอบครองไว้ให้อุ่นใจกันไป หลังจากนั้นก็รอคอยให้ขึ้นปีใหม่ คือปี 2018 นี้อย่างใจจดใจจ่อ วันคอนเสิร์ต เรานั่งรถกลับมาจากเขาใหญ่ พักเก็บแรงได้แป๊ปนึง ก็โดดมางาน FOSTER THE PEOPLE Live in Bangkok ต่อเลย พอถึงที่มูนสตาร์รับบัตรเสร็จ ก็เข้าไปยืนรอซักพัก เห็นผู้จัดประกาศบัตร Sold Out ก็ดีใจแทนวง ตอน 2 ทุ่มนิดๆ วงเปิด Whal & Dolph วงดนตรีจากค่าย What The Duck ก็ขึ้นเล่น เป็นวงอินดี้ของไทยอีกวงหนึ่งที่เราชอบเพลงอยู่หลายเพลง อย่างเพลง "นานนาน" "พ" หรือเพลง "หากมันจะสายเกินไป" ถือว่าวงเล่นได้ดี ประทับใจคนดูอย่างเราและใครอีกหลายคน พอ 21.00 น. ตามกำหนดการ ทุกคนก็เริ่มตื่นเต้นและเริ่มเตรียมตัวสนุกกับคอนเสิร์ตกันแล้ว แต่ตื่นเต้นได้ซักพักก็เริ่มชะโงกหน้ามองหาสมาชิกวง 555 สรุปวงขึ้นตอนประมาณ 21.30 น. เลทกว่ากำหนดการมา 30 นาที แต่แค่ซาวนด์ก่อนวงขึ้นนี่ก็ตื่นเต้นละ นึกว่ากำลังรอดู Harry Potter อยู่ ยิ่งพอเห็นทีมซาวนด์ฯตัวใหญ่ หนวดเฟิ้มที่ดูเหมือนแฮกริดด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าใช่เลย! 555 (ใช่ค่ะ เราเป็นแฟนคลับแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วย แฮ่!) และพอสมาชิกวงทั้ง 6 คน (นับ 6 นับ Phil กับ Tyler ที่ออกทัวร์กันมาด้วยกันนมนานด้วย) เสียงเฮก็ดังขึ้นทันที มาร์คขึ้นมาพร้อมกับแจ็กเก็ตหนังตามสเต็ป (ซึ่งตอนหลังก็ต้องถอดออกทีละชิ้น แพ้ให้กับความร้อนแรงของอากาศเมืองไทย 555) พร้อมกับอินโทรขึ้นเพลง - PAY THE MAN ตอนแรกเห็นมีกระดาษเท่าแบงค์กาโม่ล่วงลงมาจากด้านบน ก็แอบกระซิบกับเพื่อนว่าพร๊อพเพลง PAY THE MAN ป่าววะ แต่สรุปไม่ใช่ น่าจะเป็นซากพร๊อพจากงานอื่น 55 เอาเป็นว่ามิสเตอร์ฟอสเตอร์เขาเดินออกมา สาวๆ ก็กรี๊ดลั่นแล้ว (ผ่านไปยังไม่เต็มปี นางบวมขึ้นมากจากตอนแมดริดมาก ฮ่าาา) และแค่เพลงแรกก็โยกกันแรงเลยจ้า (เราด้วย!) ซึ่งเวลาที่ได้ฟังเพลงนี้ทีไร ก็จะนึกถึงคอมเม้นท์อันนึงในยูทูปแล้วก็จะหัวเราะเงียบๆ กับตัวเองทุกที คอมเม้นท์เขียนไว้ว่า "It took them 4 fucking minutes to walk through that hall, no wonder the new music took over three damn years... smh..." (by SmytheSmythe) - จบเพลงเปิดก็ดึงเพลงดังจากอัลบั้ม Torches อัลบั้มแรกของวงอย่าง HELENA BEAT มาต่อทันที แฟนเพลงก็ร้อง Yeah yeah and it's okay คลอกันไป - ยังๆ ยังคงขนเพลงจากอัลบั้มแรกมาเสิร์ฟแฟนเพลงเรื่อยๆ เพราะต่อจากเฮเลน่าก็ต่อด้วยเพลง LIFE ON A NICKLE และ WASTE ทันที ตอนที่ฟังออดิโอ้อาจจะโยกเบาๆ ไปเรื่อยๆ แต่พอมาดูไลฟ์ มาดูตอนที่เครื่องดนตรีเต็มเวที แบบโคตรฟูลแบนด์แล้ว จากโยกเบาๆ นั้นก็มีความดีความขลังของการเล่นสดเข้ามาบิ๊ว กลายเป็นต้องโยกแรงขึ้นอีก 1 สเต็ปทันที แล้วยิ่งตอนท้ายที่มาร์คให้แฟนเพลงร้องด้วยกันท่อน And every day that you want to waste, that you want to waste, you can แล้วทุกคนร้องคลอกันไป ดำน้ำบ้าง เป๊ะบ้างอย่างพร้อมเพรียง ถือเป็นโมเม้นท์ดีๆ เลยล่ะ - ดึงกลับมาที่อัลบั้มใหม่กันบ้างกับเพลง DOING IT FOR THE MONEY ก็คูลๆ ดี ตอนมิสเตอร์ฟอสเตอร์เขาแร๊พ แล้วพยักหน้าทำมาดเท่นิดๆ ก็เรียกเสียงกรี๊ดได้อยู่ (แซวววว) ดนตรีก็ดี จังหวะ ไลท์ติ้ง เออ...คือดีอ่ะ - แล้วก็ต่อกับอีกเพลงที่เราชอบจากอัลบั้ม Supermodel กับ ARE YOU WHAT YOU WANT TO BE? นอกจากความสนุกของจังหวะเพลง และความหมายของเนื้อเพลงที่ทำให้ฉุกคิดแล้ว ก็จะได้เห็นมาร์คสับขาเต้นแรงด้วย ไลท์ติ้งตอนเพลงนี้เป็นสีรุ้งสวยประกอบจังหวะดนตรีสนุกๆ แฟนเพลงก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาเก็บภาพกันใหญ่ แถมเพลงนี้ยังมีช่วงที่มาร์ค 1 ยืนกำกับการตีกลองของมาร์ค 2 และอิเล็กโทรนิค ดรัมของอายซัมด้วย ยิ่งเป็นการดึงโฟกัสให้เราตั้งใจฟังจังหวะกลองของทั้งคู่ มันกับจังหวะกลองของทั้งคู่ได้มากขึ้น - ต่อจาก Are You What You Want ก็เป็น DON'T STOP (วกกลับมาที่อัลบั้มแรก) ช่วงอินโทรระหว่างขึ้นเพลง มาร์คก็ขอให้แฟนเพลงปรบมือไปพร้อมๆ กัน แฟนเพลงส่วนใหญ่ก็ร้องคลอตามกันได้ don't stop, don't stop, don't stop กันไป ชอบสุดๆ ก็ช่วงจังหวะหัวเราะสดของมาร์คเนี่ยแหล่ะ - ไหนๆ ก็ขอละว่าอย่าหยุด ก็ต่อกันยาวๆ กับเพลงคนกินดอกบัว LOTUS EATER เป็นเพลงจังหวะมันๆ สับขารัวๆ อีกเพลง - แล้วก็ต่อด้วยการคัฟเวอร์เพลง BLITZKRIEG BOP ของ Ramones ไม่มีโอกาสฟังออริจินัล ได้ฟังวงที่ชอบคัฟเวอร์อีกทีก็ยังดีเน๊อะ ซึงก็จะมีช่วงที่มาร์คส่งหน้าที่ให้แฟนเพลงร่วมกันร้องท่อน Hey ho, let's go ด้วย ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี - ต่อด้วยเพลงที่มาร์คเป็นโปรดิวเซอร์เอ็มวีเอง กับเพลง PSEUDOLOGIA FANTASTICA เป็นช่วงที่ได้พักเก็บแรง โยกหัวเบาๆ กัน แต่คนดูก็พร้อมใจกันร้อง Why’d you say, why’d you say that you’d come right back กันเยอะนะ แล้ววงก็ลงไปพักพร้อมกับเปิดซาวนด์หน่วงๆ ดึงอารมณ์คนดูไว้ หลังจากทิ้งแฟนเพลงไว้กับดนตรีหน่วงๆ ซักพัก ก่อนกลับขึ้นเวทีกันครบทุกคน วงก็แอบมีเซอร์ไพรซ์แฟนเพลงด้วยการอัดเสียง (คิดว่าเป็นเสียงพี่สมิทธิน่ะนะ) มาเปิดมิกซ์วนลูปด้วยคำว่า "เต้น-กอด-จูบ-สัมผัส ตตตตเต้น กอด จูบ สัมผัส กอด จูบ สัมผัส เต้น..." วนลูปไป ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้มากทีเดียว ดึงแฟนเพลงกลับมาได้ปุ๊ป ก็จัดเพลงดังจากอัลบั้มแรกอีกเพลง - HOUDINI ใส่แฟนเพลงทันที ดวลกลองตอนอินโทรกันมันทีเดียว ชอบที่มีช่วงเคาะกระเดื่อง และช่วงโซโล่ของแต่ละคนแทรกเข้ามาด้วย ช่วงจังหวะที่มาร์ค (Mark Pontius) โซโล่กลองคือเจ๋ง ยืนดูแล้วภาพซ้อนกับหนังเรื่อง Whiplash ขึ้นมาทันที จบเพลงนี้แล้ว ทางวงก็ไม่ยอมทิ้งช่วงให้พัก ต่อด้วยเพลง - CALL IT WHAT YOU WANT ซึ่งเป็นอีกเพลงที่แฟนเพลงร้องกันได้กระหึ่มฮอล - ยังๆๆ ยังมีเพลงดัง เพลงโปรโมทอัลบั้ม Supermodel เพลง COMING OF AGE จัดมาเป็นชุดให้แฟนเพลงได้ฟินกันสุดๆ ซึ่งก่อนขึ้นเพลงนี้มาร์คก็มีพูดถึงเรื่อง True Love ด้วยเล็กน้อย แล้วก็เข้าสู่ช่วงอภิมหาโคตะระชอบ เพราะแสงไฟหรี่ลง พร้อมกับมิสเตอร์ฟอสเตอร์นั่งลงที่คีย์บอร์ด . . . - แล้วอินโทรเพลง RUBY ก็ขึ้นมา เ-ี้ยยยยย (อุทานในใจแรงๆ) ร้องเพลงช้า ร้องเพลงรูบี้ ร้องเพลงที่ยังไม่เคยได้ฟังสด (เพราะปกติวงเล่นแต่เพลงเร็วตลอดช่วงหลังๆ มานี้) ดีใจแบบยืนสงบนิ่ง ยิ้มกว้าง และร้องคลอเบาๆ ไปพร้อมกับมาร์คอย่างแช่มชื่นสุดๆ (นาทีนั้นอยากจะวิ่งแหกผู้คน กระโดดขึ้นเวที ไปจูบหน้าผากมาร์คแรงๆ หนึ่งที) - ไม่ปล่อยให้คนดูตกอยู่ในภวังค์กันนานเกินไป วงต่อด้วยเพลงจังหวะกลางๆ จากอัลบั้มใหม่ อย่างเพลง SIT NEXT TO ME - และปิดโชว์ก่อนอังกอร์ด้วยเพลง MISS YOU ที่ซาวดน์มันเหมาะแก่การขยับแข้งขยับขา สับขาแรงๆ อีกเพลง Photo Credit: by @kennyjamez (via THE VERY COMPANY) หลังจากที่แฟนเพลงส่งเสียงเฮอังกอร์แบบขาดๆ หายๆ กันอยู่ซักพัก วงก็กลับขึ้นมาเล่นต่อกับ 2 เพลงสุดท้าย คือ
- LOYAL LIKE SID & NANCY ซาวนด์ช่วงท่อนฮุคคือดี ก็จะมีความตื๊ดๆ หน่อย มีแฟนเพลงตะโกน Hey man get away from me! ประปราย และก็จบด้วยเพลงแจ้งเกิด ที่ไม่เล่นไม่ได้ เพราะมิสเตอร์ฟอสเตอร์เขาต้องโชว์เต้นสับขาเพลงนี้ นั่นก็คือเพลง - PUMPED UP KICKS คือแค่อินโทรขึ้น เสียงเฮก็กระหึ่มฮอลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนเนื้อเพลงขึ้นมา ร้องกันพร้อมเพรียงมาก มาร์คและสมาชิกในวงน่าจะภูมิใจ :) แต่ที่จริงถ้ามีจังหวะดนตรีต่อแบบตัวที่อัพขึ้นยูทูป (VEVO Presents) แบบนั้นก็น่าจะมันขึ้นอีก (ชอบเวอร์ชั่นนั้นเป็นการส่วนตัว) จบ 18 เพลงไปอย่างที่เรียกได้ว่า ใครไม่งานนี้ถือว่าคุณพลาดการเริ่มต้นปีที่ดีแล้วล่ะ! ยังๆ พอสมาชิกในวงลงจากเวทีกันหมด มาร์คยังแฟนเซอร์วิสสุดๆ ด้วยการลงจากเวทีมาแจกลายเซ็นต์แฟนเพลงอย่างทั่วถึง ก่อนจะเชื้อเชิญแฟนเพลงให้ไปร่วม After Partyต่อที่ทองหล่ออีกต่างหาก ใครตามไปก็น่าจะฟินกันน่าดู สรุปแล้วอย่างแรกต้องขอบคุณผู้จัด THE VERY COMPANY ที่พาวง FOSTER THE PEOPLE มาเหยียบที่เมืองไทยจนได้ Setlist คือดี เหมาะสำหรับทั้งแฟนเพลงที่ติดตามมาตลอด และคนที่เพิ่งมาติดตาม เพราะขนเพลงฮิตมาได้แบบฟินสุดๆ ซาวนด์ค่อนข้างดี ไลท์ติ้ง การเล่นแสงก็ดี ต้องขอบคุณที่ไม่สาดไฟใส่คนดูที่แพ้แสงจ้า (อย่างเรา) บ่อยๆ / หรือสาดเลยไปอันนี้ก็ไม่แน่ใจ 555 แต่ภาพรวมทั้งหมดถือว่าดีมาก ให้อภัยกับการขึ้นเลทได้เลย ถ้าวงปล่อยอัลบั้มใหม่ ก็พาวงกลับมาอีกนะ รอบนี้คือดวงติ่งดิ่งดับมากๆ เล่นเกมลุ้นมีทก็ไม่ได้ /ขามาก็อยู่ต่างจังหวัด ไปรับไม่ได้/ มี After Party ก็ไปไม่ได้ เพราะต้องตื่นเช้าด้วยความที่มีนัดสำคัญกับลูกค้า /แถมวันกลับไปรอส่ง ก็รอหน้าเกทคนเดียวด้วยสายตาสั้นๆ จนไม่เห็นและไม่รู้ว่าวงมาเช็คอินเข้าเกทไปแล้ว ถุ_ยชีวิตมากๆ (อนาถดวงตื่งตัวเอง จนอยากจะพักจากวงการ 5555) จบด้วยการระบายความติ่งของตัวเองซะงั้น 555 เราเป็นหนึ่งในหลายคนที่คิดว่าเพลงในอัลบั้ม Ambitions ซอฟท์ลง แต่ด้วยพลังติ่งที่ตั้งปณิธานไว้ว่าฉันจะต้องดูวงนี้เล่นสดให้ได้ทุกปี เมื่อปีที่แล้วเลยตัดสินใจบินไปดูทัวร์ญี่ปุ่นที่โอกินาว่า (รีวิวรอบโอกินาว่า > ONE OK ROCK 2017 "Ambitions" JAPAN TOUR) เลยรับรู้ได้ว่าไม่ว่าเพลงของวันโอคุจะซอฟท์ลงแค่ไหน แต่เล่นสดวงนี้ยังไงก็คือเดือด ตัดภาพมาที่ไทย ตอนที่มีคนเริ่มแชร์เซ็ตลิสท์กัน เราเลยเข้าไปดู แล้วก็ตั้งคำถามว่า เห้ย! เพลงอัลบั้มเก่าๆ ที่เล่นตอนทัวร์ญี่ปุ่นหายไปไหนหมด บอกตามตรงตอนนั้นแอบกังวลว่าจะเดือดพอเอาชนะใจคนดูป่าวนะ (ติ่งเป็นกังวลแทนศิลปินค่ะ ณ จุดนี้ 5555) แต่ก่อนหน้านั้นก็เห็นคุณ Kittiwat (ผู้จัด) ทวิตถึงเซ็ตลิสท์ว่าเจ๋งดี และบอกไม่ได้ ให้ไปลุ้นกันเอา เราเลยแบบ สรุปต้องเชื่ออันไหนวะ และก็ตัดสินใจเชื่อผู้จัด ไปคอนเสิร์ตอย่างมีความหวังว่าวงจะเล่นเหมือนที่ญี่ปุ่น Photo Credit: via Avalon by Julen Photo พอใกล้ 2 ทุ่ม เพลงสรรเสริญขึ้นก็มั่นใจได้เลยว่าวงจะขึ้นตรงเวลาเป๊ะ เปิดตัวด้วยดนตรีเปิดตามธรรมเนียมของวง
จบ 5 เพลงก็พักทักทายแฟนเพลงก็ซักหน่อย เตรียมภาษาไทยกันมาอย่างดี ทั้ง “ไม่อยากกลับเลย” “ดีใจที่ได้เจอ” “ผมชอบเมืองไทยมากครับ” “ผมชอบข้าวเหนียวมะม่วง” แต่เราว่าพีคสุดก็โทโมยะคนอวดลูกอวดเมีย “แต่งงานแล้วครับ มีลูกแล้ว ลูกน่ารักมาก” ค่ะ! รู้แล้วค่ะ แต่พี่โทรุดูจะเฟลหน่อยๆ เพราะพูดหลายรอบแต่คนฟังก็ยังดูไม่เก็ท 555 ทากะกลับมาครั้งนี้ภาษาอังกฤษก็ดีขึ้นมาก ไม่ต้องอ่านโพยแล้ว ดีใจกับนาง สมกับการหนีไปทัวร์ฝั่งอเมริกาและยุโรปมาเกือบปี Photo Credit: via Avalon by Julen Photo
Photo Credit: via Avalon by Julen Photo
Photo Credit: via Avalon by Julen Photo
คอนเสิร์ตภาพรวมคือดีมากกกกกกก (ให้ติ่งรีวิวก็จะมีความเอนเอียงหน่อยๆ อ่ะนะ 555) แต่ถ้าไม่เชื่อเรา เพจอื่นๆ ก็บอกว่ามากกกกกกก เหมือนกันนะ มีระบบเสียงที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา เดี๋ยวไมค์ทากะอยู่ดีๆ ก็เบาไปก็มีบ้าง แต่พลังที่เกินร้อยของสมาชิกทั้ง 4 คนคือเอาอยู่ คือทำให้คนฟังทุกคนรับรู้ และรับพลังนั้นมาเปลี่ยนเป็นความมันส์กันได้อย่างเต็มที่ มีจังหวะที่ทากะ เรียวตะ โทรุ เต้นสเต็ปเดียวกับ ก้าวหน้า ถอยหลัง หมุนตัว จังหวะนั้นคือเอ็นดูพวกนาง 5555 (นึกถึงความหลังของการเป็นสมาชิกบอยแบนด์กันมาก่อนเลย) มันส์ สนุก ดี ประทับใจ เต็ม 10 ให้ 11 ไปเลย! คือก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะตามดูวงนี้ต่อไปให้ได้อย่างน้อยปีละครั้ง ใครพลาดครั้งนี้ไป ไม่ว่าอัลบั้มใหม่ที่ทางวงกำลังเตรียมกันอยู่จะซอฟท์ลงหรือฮาร์คคอร์ขึ้น เชื่อเรา ว่าแสดงสดไม่มีผิดหวัง หยอดกระปุกรอเลย!!! ขอบคุณ Avalon Live ที่พา ONE OK ROCK มาหาพวกเราได้ทุกรอบ และเชื่อว่ารอบต่อๆ ไป Avalon ก็ยังจะพามาและดูแลวงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ^^v Photo Credit: via Avalon by Julen Photo
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไม่ได้... เพลงนี้ร้องให้กับตัวเอง ที่แม่งอัพรีวิวได้ดีเลย์สุดๆ ไปเลย สำหรับ MEW เราตกหลุมรักวงนี้ ตอนที่ดาวน์โหลดรวมเพลงอินดี้น่าฟังประจำเดือนพฤษภาคม ของปีไหน (จำไม่ได้) จากเว็บรวบรวมเพลงอินดี้ต่างชาติเว็บหนึ่งมาฟัง ก็ไล่ฟังปกติ จนมาถึงเพลง She Came Home for Christmas ฟังรอบแรกก็ตกหลุมรักเลย อาจจะด้วยทำนอง และเนื้อเพลงที่เข้ากับอารมณ์ตอนนั้นพอดี ฟังวนอยู่หลายวัน ก่อนจะเริ่มไล่ฟังเพลงอื่นในอัลบั้ม Frengers ของ MEW แล้วก็ฟังทุกอัลบั้มไล่มาจนถึงปัจจุบัน ช่วงที่ประกาศวันแสดงที่ไทย เรากำลังจะจองตั๋วเครื่องบินไปโอกินาว่าพอดี เลยถือเป็นความโชคดีที่ไม่ต้องมาเลื่อนตั๋วทีหลัง เพราะตอนแรกกะว่าดูคอนฯ ONE OK ROCK จบแล้วจะอยู่โอกินาว่ายาวจนถึงวันที่ 7 พ.ค. แต่พอ MEW ประกาศวันแสดงคอนฯที่ไทย ก็กดจองตั๋วให้บินกลับคืนวันที่ 6 พ.ค. อย่างไม่ลังเล (งานนี้ผู้ชายมาก่อนเที่ยว 555) คอนเสิร์ตจัดขึ้นวันที่ 7 พ.ค. ที่ Voice Space มีวงเปิดคือ Bomb At Track กับ Summer Dress เราเข้าไปตอนที่ Bomb At Track กำลังเล่นคัฟเวอร์เพลง My Generation ของ Limp Bizkit พอดี เพื่อนก็หันมาถามว่ารู้จักเพลงนี้มั้ย เราก็ตอบไปอย่างรวดเร็วว่ารู้จักดิ ดังจะตาย แล้วเพื่อนก็ต่อด้วยประโยคที่ว่า "รู้เลยว่าเกิดยุคไหน" (คือจะบอกว่ากูแก่ก็บอกตรงๆ เถอะ แหม่!) ต่อจากบอมบ์ฯ ก็เป็น Summer Dress เอาจริงๆ เราแทบไม่ได้ฟังเพลงของ 2 วงนี้เลย แต่พอได้ฟังเพลง 1917 ของ Summer Dress ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมถึงถูกเลือกให้มาเล่นเปิดให้ MEW คือเพลงมีความไปในแนวทางเดียวกับวงหลัก ฟังแล้วก็เพลินๆ ลอยๆ เหมือนกัน แล้วก็ถึงเวลาที่คอรอย เอ้ย! คอยรอ เอ้ย! รอคอย (นี่ยังจะกล้าเล่นมุขอีกนะ ==;) ผู้ชาย 5 คนใส่ชุดขาวปรากฎขึ้นบนเวีที นึกว่าบาทหลวงจะมาพานำสวด แฮ่! แล้วเพลงแรก In a Better Place ก็ถูกบรรเลงขึ้นมา โอ้ยยยยย ท่านผู้ชม แค่ได้ยินเสียงซินธ์ก็ฟินไป 3 บ้าน 8 บ้านแล้ว แล้วพอเสียงโจนาสขึ้นเท่านั้นล่ะ ไม่อยากจะบอกว่าแอบน้ำตาซึม... คืออารมณ์แบบ ได้ฟังสดแล้ววววว อารมณ์เดียวกับนักบวชที่ดวงตาเห็นธรรม ระดับนั้นเลย จบเพลงแรก ก็ต่อด้วยเพลงโปรโมทจากอัลบั้มใหม่ 85 VIDEOS ซึ่งเป็นเพลงที่เราชอบมากกกกในอัลบั้มนี้ ดนตรีขึ้นนี่หลุดกรี๊ด จริตเสียกันไปเลย คือออดิโอ้ว่าดีแล้ว ฟังสดคือดนตรีก็แน่น เสียงโจนาสแม่งก็ดีงาม บวกกับวิชวลแบ็คกราวน์ที่เหมือนกับในเอ็มวี ยิ่งตอนท่อน Oh angel I'll find you นี่ลอยเลยจ้าาาา จบเพลง 85 วิดีโอ โจนาสก็กล่าวทักทายแฟนเพลงเล็กน้อย บอกดีใจที่ได้มาเล่นที่ไทย และถือเป็นประเทศแรกในการทัวร์ครั้งนี้ด้วย ที่แรกที่ได่ฟัง 85 VIDEOS สดๆ นะเหวยยยย หลังจากทักทายก็ต่อด้วยเพลง Special และ The Zookeeper's Boy เป็นเพลงที่เราชอบในความมุ้งมิ้งของการที่โจนาสร้องหลบเสียงท่อน Are you my lady, are you? หน่อยๆ แล้วเป็นตัวดนตรีที่กระชากเราเบาๆ กลับมาจากความมุ้งมิ้งนั้น มันคือความลงตัวที่เดี๋ยวปล่อยเราจมดำดิ่ง เดี๋ยวกระชากเรากลับมาให้ล่องลอย แล้วก็เป็นเพลง The Wake of Your Life ต่อด้วย Satellites ที่ดึงเราสู่ห้วงอวกาศยาวๆ เพราะต่อจาก Satellites ก็เป็น Introducing Palace Players ที่จังหวะมันช่างล่องลอยไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด Twist Quest เพลงที่ฟังแล้วรู้สึกอยากก้าวชิด ก้าวแตะ โยกไป ดีดนิ้วไปเรื่อยๆ จบเพลงนี้ก็มีทักทายแฟนเพลงต่ออีก แล้วก็ต่อด้วยเพลง Making Friends, Water Slides, Ay Ay Ay และเมดเล่ย์ Apocalypso กับเพลง Saviours Of Jazz Ballet ที่ดนตรีดึงวิญญาณสุดๆ ก่อนจะปิดด้วยเพลงจากอัลบั้มใหม่อีกเพลงอย่างเพลง Carry Me To Safety ปิดช่วงก่อนอังกอร์ได้อย่างสวยงาม แต่ที่แปลกกว่าชาวบ้าน คือมีอังกอร์ 2 ช่วง เรียกว่าอังกอร์แล้ว อังกอร์อีกจ้า! กลับมาช่วงอังกอร์ช่วงแรก เป็น 3 เพลงที่จัดมาได้อย่างดีงาม Nothingness And No Regrets, Am I Wry? No และ 156 ใครที่เริ่มชอบวงนี้จากอัลบั้ม Frengers จะต้องฟินระดับบรรลุโสดาบันกันเลยทีเดียว ตอนเสียงกลองของเพลง Am I Wry? ขึ้น คือแบบเตรียมร้อง Farah now that we're here เสียงดังๆ เลย คือเป็นเพลงที่ฟังแล้วมีความสุข ฟาร่าห์เป็นใครไม่รู้ รู้แต่ชอบดนตรีเพลงนี้มาก ตอนท่อน Diamond ring นี่ คนฟังร้องเสียงดังกันใหญ่ ฟังแล้วก็รู้สึกได้ว่าทุกคนก็ฟินไม่ต่างจากเรา :) แล้วยิ่งต่อด้วย 156 คือตายตอนนั้นเลยก็ได้ ตายเลย ฉันโอเคแล้ว ฉันมีความสุขแล้ว (อันนี้ไม่เวอร์นะ แต่ถ้าให้ตายจริง ก็ไม่เอา ยังเหลือหลายวงที่ยังไม่ได้ดูสด 555) จบ 3 เพลงเมื่อกี๊ วงก็เดินลงจากเวทีให้เราอังกอร์กันอีกรอบ ทำเอาทุกคนงงกันใหญ่ จะทิ้งกันไว้กลางทางอย่างนี้เหรอ? งงงวยกันได้ซักพัก วงก็กลับขึ้นมาและเล่นเพลงสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยกับเพลง Comforting Sounds ซาวดน์ขึ้นปุ๊ป I don't feel alright กันทั้งฮอลอย่างพร้อมเพรียง ลอยกันเป็นหมู่คณะ ปิดคอนเสิร์ตครั้งนี้อย่างสวยงาม สมาชิกทั้ง 5 คนออกมาโค้งขอบคุณให้คนฟังก่อนจะกลับลงเวทีไป ทิ้งให้แฟนเพลงซึบซับความฟินที่ลอยค้างอยู่ในฮอลกันต่อไป
คือจากทั้งหมดที่พิมพ์มา เราคงไม่ต้องบรรยายอะไรเพิ่มแล้ว คือฟินจริง ไฟไม่ต้องจัดเต็ม วิชวลไม่ต้องจัดเต็ม แค่ดนตรี เสียงโจนาสและเพอร์ฟอร์แมนซ์ของแต่ละคนก็โอเคแล้วจริงๆ คือแค่มี MEW ก็เอาอยู่แล้ว คนฟังก็ลอย ก็อิ่มเอมใจได้แล้วจริงๆ เราจะไม่พิมพ์อะไรต่ออีก ใครที่ฟังวงนี้แล้วไม่ได้ไป บอกได้คำเดียวว่าพลาดดดดด หลังจากที่ดูการแสดงสดของ ONE OK ROCK ในไทย 2 ครั้ง ก็ตั้งปนิธานกับตัวเองว่าจะต้องไปดูวงเล่นสดที่ญี่ปุ่นให้ได้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดูเมื่อปีที่แล้ว ตอน Nagisaen แต่ตารางงานตัวเองและระบบการเงินไม่เป็นใจ เลยยกเลิกแพลนไป ใครที่เคยดูวงนี้เล่นสด แล้วได้ติดตามดูเทปบันทึกการแสดงในญี่ปุ่นแต่ละรอบของวงน่าจะเข้าใจเราดี ว่าทำไมถึงอยากไปดูที่ญี่ปุ่น เหตุผลแรกคือ จะได้ฟังวงเล่นเพลงทั้งหมดเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่น (ถึงแม้อัลบั้มล่าสุดนั้น เวอร์ชั่นญี่ปุ่นกับเวอร์ชั่นอเมริกา แม่งจะไม่ได้แตกต่างกันมากก็เถอะ) เหตุผลที่สองคือ พิธีกรรมการดูคอนเสิร์ตของคนญี่ปุ่น มันเป็นอะไรที่หาฟีลลิ่งแบบนั้นในประเทศอื่นไม่ได้ และเหตุผลที่สามคือ ได้ไปเที่ยว! 555 พอพลาดปี 2016 เราเลยคุยกับเพื่อนไว้ว่าปี 2017 จะไปดูเจแปนทัวร์ของวงนะ สนใจไปด้วยกันมั้ย ซึ่งพอตารางทัวร์ออก ก็ประจวบเหมาะกับ Peach Aviation เปิดเส้นทางบินตรงไปโอกินาว่าพอดี ซึ่งคอนฯรอบโอกินาว่าจะเล่นเดือนพ.ค. ช่วงวันก็ลาได้พอดี แถมยังไม่เคยไปเที่ยวโอกินาว่า เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นจุดหมายของการไปดูคอนเสิร์ต ONE OK ROCK 2017 "Ambitions" JAPAN TOUR พอตัดสินใจเลือกรอบแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนต่อไป เราตัดสินใจหาบัตรคอนฯให้ได้ก่อน ค่อยจองตั๋วเครื่องบินทีหลัง ซึ่งวิธีการหาบัตรคอนฯของเราก็ไม่ยาก เพราะเราติดตามเพจ ONE OK ROCK, Yes I am อยู่ เป็นแฟนเพจของวงที่ทำโดยแฟนเพลงไทย เราเคยสั่งสินค้าหน้าคอนฯกับแอดมินเพจ และมักจะเห็นทางเพจอัพเดทข่าวสารเรื่องคอนเสิร์ตของวงเป็นประจำ รวมทั้งแอดมินก็ใจดีประกาศรับฝากจองบัตรพอดีด้วย เลยได้โอกาสฝากแอดมินจองรอบโอกินาว่าวันที่ 5 พ.ค. ให้ 2 ใบ แต่ขั้นตอนของการจองก็ช่างลำบากยิ่งนัก เพราะต้องใช้วิธีโทรจองบัตร ต้องมีบัญชีญี่ปุ่น ต้องบลาๆๆ ตอนที่เปิดจองเราเลยชวดไป สุดท้ายแอดมินเลยหาคนปล่อยบัตรมาให้ ซึ่งก็เป็นคนไทยด้วยกันเนี่ยแหล่ะ ปล่อยรอบวันที่ 4 พ.ค. ให้ สุดท้ายก็ได้บัตรรอบวันที่ 4 พ.ค. 2 ใบมาไว้ในครอบครอง วิธีการรับบัตรก็ไม่ยาก เพราะญี่ปุ่นเค้าไปไกลมากแล้ว ทุกอย่างสามารถทำผ่านมือถือได้หมด (แต่จะน่าเสียดายตรงที่ไม่มีบัตรกระดาษเก็บไว้ดูต่างหน้า) คนที่ขายบัตรต่อให้ ตอนซื้อบัตรเค้าเลือกรับบัตรเป็น QR CODE ผ่านแอพฯ โดยทางผู้จำหน่ายจะส่งให้ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนวันคอนเสิร์ต เพราะฉะนั้นเราก็โหลดแอพฯที่ชื่อ tixeebox มาไว้ในมือถือและเข้าไปลงทะเบียนล่วงหน้ารอไว้ก่อน หลังจากนั้นเราก็จะได้รับ link เพื่อให้เรากดเข้าไปสแกน QR CODE รับบัตร (ซึ่ง 1 ครั้ง จองได้ 4 ใบ) 2 สัปดาห์ก่อนวันคอนเสิร์ต ทางแอดมินเพจก็ส่ง link บัตรคอนฯมาให้เราคนแรก โดยสิ่งที่เราจะต้องทำคือ 1.) ใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือเครื่องอื่นเปิด link ที่ทางแอดมินส่งมาให้ 2.) ใช้มือถือเราเปิดแอพฯ tixeebox ขึ้นมาเพื่อกดสแกนโค้ด แล้วบัตร 4 ใบก็จะเด้งเข้ามาอยู่ในแอพฯเครื่องเรา ในรายละเอียดก็จะมีบอกรอบวันที่และสถานที่จัด (หมายเลข 1) โซนและเลขที่นั่ง (หมายเลข 2) และวิธีสังเกตว่ามีทั้งหมดกี่ใบ คือเลขที่มุมขวาล่าง (หมายเลข 3) จะมีตัวเลขขึ้น 1/4 นั่นหมายถึงมีบัตรอยู่กับเรา 4 ใบ ให้เราลองเปิดไล่ดู จะเป็นลำดับการจองหรือที่นั่งเรียงกันตามลำดับสี่หมายเลข ในกรณีนี้เราได้เป็นบัตรนั่งบนสแตน 4 ใบ ฝั่งทิศใต้ แถว Q เลขบัตรก็จะเรียงเป็น Q52, Q53, Q54, Q55 ซึ่งเราฝากแอดมินซื้อแค่ 2 ใบ นั่นหมายความว่า เราต้องเก็บ Q52 ไว้เป็นของเรา 1 ใบ Q53 ให้เพื่อนเรา 1 ใบ และส่งให้แอดมินคืน 2 ใบ 3.) วิธีการส่งต่อก็ไม่ยาก เลือกใบที่จะส่งต่อเช่น Q53 แล้วกดเลือก Give Ticket (หมายเลข 4) แล้วเลือก Send via QR code (หมายเลข 5) ก็จะมี QR Code เด้งขึ้นมา ให้เรา Screencapture แล้วส่งต่อให้กับคนรับ โดยคนรับก็ต้องไปทำวิธีเดียวกับวิธีที่เราสแกนรับบัตรมานั่นแหล่ะ หลังจากเราเลือกกด Send via QR code แล้วนั้น คนรับจะมีเวลา 24 ชั่วโมงในการสแกนรับบัตรไป ถ้าไม่ทัน...ไม่ต้องตกใจ ทำใหม่แล้วส่งให้อีกรอบก็เท่านั้นเอง พอมีคนสแกนรับบัตรแล้ว เลขที่มุมขวาในแอพฯเราก็จะค่อยๆลดลงตามจำนวนที่มีคนสแกนไป จนเหลือ 1 ใบ (1/1) ซึ่งก็คือของเรานั่นเอง และแล้วเดือนพ.ค.ก็มาถึง! เราออกเดินทางจากสุวรรณภูมิคืนวันที่ 2 พ.ค. และไปถึงที่โอกินาว่าตอนเช้าประมาณ 8 โมงของวันที่ 3 พ.ค. ใช้เวลา 1 วันเที่ยวง่ายๆ ในนาฮา ด้วยรถบัส แล้ววันที่ 4 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เรามีบัตรคอนฯอยู่ในกำมือก็มาถึง เราตื่นแต่เช้าประมาณ 10 โมง (นี่เช้าแล้ว!) เพราะยังรู้สึกเพลียๆ อยู่ ก่อนจะแวะไปศาลเจ้าและชายหาดใกล้ๆ ที่พัก ทานข้าวกลางวัน แล้วก็เดินไปสถานีรถไฟฟ้าโมโนเรล Asahibashi ซึ่งที่สถานีนี้จะเป็นจุดศูนย์กลางของป้ายรถบัสสารพัดสาย รวมทั้งมีศูนย์ข้อมูลที่มีเจ้าหน้าที่ใจดีคอยตอบคำถามอยู่ พอถึงที่สถานีปุ๊ป เราก็เดินเข้าศูนย์ตรงดิ่งไปหาคุณป้าคนหนึ่ง พร้อมบอกจุดหมายปลายทางคือ Okinawa Convention Center คุณป้าก็จะยื่นตารางเวลารถ พร้อมบอกสายและป้ายที่เราต้องเดินไปขึ้น รวมทั้งราคาให้กับเรา ซึ่งสายที่เราจะต้องขึ้นคือสาย 32 ราคา 530 เยนและใช้เวลาประมาณ 40 นาที พอเราเดินไปถึงที่ป้ายรถ ก็โล่งใจทันที เพราะที่ป้ายมีแฟนคลับนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2 คน (เวลาไปดูคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไปไม่ถูก แค่ไปถึงที่ขึ้นรถที่หลักๆ ให้ได้ ก็จะเจอมุนษย์แฟนคลับแต่งตัวเต็มยศทั้งเสื้อยืดวง ผ้าเชียร์ ริสแบนด์ บลาๆๆ คือเห็นปุ๊ปก็รู้ได้เลยว่าแม่งต้องไปที่เดียวกัน แน่นอน เพราะงั้นก็แค่ตามคนเหล่านั้นไป) นั่งรถไปได้ซักพัก พอใกล้ถึงสถานที่จัดคอนฯก็จะเริ่มเห็นกลุ่มแฟนคลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่พอไปถึงก็ต้องตกใจเพราะเราไปถึงประมาณบ่าย 3 กว่าๆ แล้ว แต่แถวที่ต่อรอซื้อ Goods หน้าคอนเสิร์ตยังยาวเลยประตูทางเข้าออกมาอยู่เลย ซึ่งด้วยอาการเพลีย บวกกับแดดที่ร้อนมาก เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจเดินไปห้างแถวนั้นเพื่อรอเวลาประตูใกล้เปิดค่อยเดินกลับมาใหม่ Okinawa Convention Center ก็จะคล้ายๆ กับอิมแพ็คฯบ้านเรา ที่มีหลายส่วนเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ กันไป ซึ่งคอนเสิร์ตจะจัดในส่วนของ Exhibition Hall เป็นฮอลขนาดเล็กซึ่งจุผู้เข้าชมได้ประมาณ 5,000 คน (ขนาดประมาณธันเดอร์โดม) เพราะฉะนั้นอยู่ตำแหน่งไหนก็เห็นเวทีชัดเจนดี ประตูเปิด 17.00 น. เราเดินกลับมาที่สถานที่จัดคอนเสิร์ต ตอนประมาณบ่าย 4 แล้วโชคดีที่แถวซื้อ Goods สั้นแล้ว เลยตัดสินใจต่อแถวซื้อของก่อน สอย Tote bag สีดำ ราคา 1,000 เยน กับผ้าเชียร์สีเหลืองราคา 1,500 เยนมาไว้ในคลังมหาสมบัติ พอสบายใจที่ได้เสียเงินแล้ว ก็เดินหาล็อดเกอร์จะฝากกระเป๋ากันใหญ่ สรุปที่นี่ไม่มี แต่โชคดีที่มีบูธเปิดรับฝากของ โดยคิดราคา 500 เยน สต๊าฟจะรับของทั้งหมดที่เราอยากฝากใส่ถุงพลาสติกใสถุงใหญ่ไว้ พร้อมให้เรากรอกข้อมูลคือชื่อและเบอร์โทรศัพท์ แล้วแปะไว้ที่ถุง พร้อมกับยื่นใบฝากให้เรา 1 ใบ ตอนคอนฯเลิกก็แค่เดินมายื่นใบฝากให้สต๊าฟแล้วรับกระเป๋าคืน ฝากกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก็เดินหาป้ายโซนตัวเองที่มีสต๊าฟยืนชูไว้อยู่ เจอป้ายทิศใต้ปุ๊ป ก็เดินไปต่อแถวรอเวลาประตูเปิด โดยวันก่อนหน้าคอนเสิร์ตก็จะมีข้อความแจ้งเตือนส่งเข้าแอพฯ ถึงวิธีการเตรียมตัวสำหรับวันคอนเสิร์ต สรุปใจความสั้นๆ คือให้เหลือแบตฯในโทรศัพท์ไว้ด้วย เพราะต้องเปิดบัตรในแอพฯ ให้สต๊าฟดูตอนเข้าคอนเสิร์ต และที่สำคัญอย่าเผลอไปกดที่รูปคอนฯในแอพฯก่อนถึงเวลา เพราะชีวิตคุณอาจจะหาไม่ คือถ้าเราเผลอกดมันจะขึ้นว่าเราโชว์ให้สต๊าฟดูไปแล้ว แล้วมันก็จะขึ้นลายปั๊มคำว่า Thank you ขึ้นมา จบเห่! เข้าคอนฯไม่ได้หน่าจา และคำเตือนเพิ่มเติมจากเราคือคืนก่อนวันคอนฯให้เช็คแอพฯให้ดี ถ้ามันขึ้นให้อัพเดทก็รีบอัพไว้ เพราะของเพื่อนเรามันไปเด้งให้อัพหน้างานตอนอีก 5 คิวจะได้เข้าคอนฯ สรุปก็ต้องหลบแถวคิวไปยืนรออัพเดทแอพฯก่อน เพราะถ้าไม่ยอมอัพเดท แอพฯจะเปิดไม่ได้ (==;) วิธีการเข้าคอนฯก็แค่โชว์บัตรในแอพฯให้สต๊าฟดู สต๊าฟก็จะจิ้มๆที่หน้าจอเราเพื่อยืนยันข้อมูล บัตรก็จะเด้งเป็น Thank You ขึ้นมา พอผ่านวันคอนเสิร์ตไปได้ซักพัก มันก็จะอันตรธานหายไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นแนะนำให้แค๊ปฯรูปเก็บไว้ล่วงหน้าเลย ถ้าอยากจะเก็บไว้นะ ปกติคอนฯของ ONE OK ROCK จะมีแฟนคลับทำ Circle Pit ด้วย แต่ด้วยความที่ฮอลที่โอกินาว่าค่อนข้างเล็กและพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ ด้านหน้าทางเข้าฮอลเลยจะมีป้ายแจ้งไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ให้ทำ Circle Pit นะจ๊ะ! และแน่นอนที่ญี่ปุ่นห้ามถ่ายรูปทุกช่วง แค่สต๊าฟเห็นเรานั่งเล่นมือถือไฟส่องหน้า ก็เดินมาสะกิดเตือนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ควรเสี่ยงถ้าไม่อยากโดนดึงออกจากคอนฯ (ซึ่งอันที่จริงมันก็มีช่วงเวลาที่ใช้โอกาสจากการเปิดไฟฉายในมือถือได้อ่ะนะ อาจจะตั้งเป็นโหมดถ่ายวิดีโอ แล้วเปิดแฟลชแทนงี๊ *อันนี้เราไม่ได้ทำนะ แค่คิดจะทำเฉยๆ 55) คอนเสิร์ตเริ่ม 18.00 น. รอบที่โอกินาว่ามีวง MONGOL800 เล่นเป็นวงเปิด เป็นวง Punk Rock 3 ชิ้น ที่สมาชิกในวงเป็นคนโอกินาว่า เหล่าคุณลุงก็จะแต่งตัวฮาวายชิวๆ ขึ้นเล่น เอาจริงๆ ถือเป็นการเบิกโลกให้กับเรามากๆๆๆ เพราะเพิ่งมารู้ในคอนฯว่าเพลง 小さな恋のうた เป็นของวงนี้ ได้ยินมาตั้งนาน เห็นคนcoverมาก็เยอะ นี่ไม่รู้ต้นกำเนิดเลยจริงๆ (กลับมาจากคอนเสิร์ตถึงกับต้องมานั่งไล่ฟังเพลงของวงนี้ดู) คนดูก็ดูสนุกสนานและเอนจอยดี (ซึ่งคนดู 70% เป็นคนในพื้นที่ และ 30% เป็นคนญี่ปุ่นจากเมืองอื่นๆ กับด๋อมด๋อยอย่างเราๆ นั่นเอง) วงเล่นประมาณ 45 นาที มีเพลงที่เราคุ้นหูหลายเพลง ระหว่างที่ลุงเล่น สมาชิกวง ONE OK ROCK ก็ยืนอยู่ข้างเวทีดู MONGOL800 เล่นด้วย ซึ่งจากมุมเราจะเห็นโทโมยะง่ายสุดเพราะดูนางอิน โยกย้ายส่ายเอวตลอดเวลา เลยเห็นการขยับเขยื้อนของนางชัดเจน แล้วก็ถึงเวลา 19.00 น. เวลาที่ทุกคนรอคอย Ambitions -Introduction- ดังขึ้น พร้อมกับจอมอนิเตอร์ที่ค่อยๆ แยกออก 2 ข้าง แล้วก็เป็นเวทีที่มีสมาชิกทั้ง 4 คนยืนประจำตำแหน่งค่อยๆ เลื่อนออกมาข้างหน้า แค่อินโทรฯเปิดก็ประทับใจแล้วจริงๆ แล้วแสง สี เสียงมาเต็ม คือเวทีเป็นมอนิเตอร์ตั้งฉาก 90 องศา คือทั้งฉากหลังและพื้นเวทีที่ศิลปินเหยียบอยู่มันเป็นมอนิเตอร์หมดเลย เพราะฉะนั้นคนที่อยู่บนสแตนอย่างเราก็จะได้เห็นลูกเล่นของvisual video ในองค์รวมทั้งหมด แถมไฟสีน้ำเงินที่ยิงสาดกันกระจายเต็มฮอล คือแม่งงงงง ดี! แล้วพออินโทรฯจบ ก็เปิดฉากความมันกับเพลง Bombs Away: ตอนท่อนฮุค tick tick tock and it's bombs away เสียงที่ทากะแหกออกจากปากมาจนมีความพร่าด้วยนั้น คือดี ONION!: โอยยยยยย! กะให้หมดพลังตั้งแต่ต้นคอนฯเลยรึไงกัน โชคดีที่แถวที่เรานั่งอยู่หน้าสุดของชั้น 3 ก็จะมีราวกั้นข้างหน้าให้จับด้วย สบายใจเลยทีนี้ คือก็ทั้งกระโดด ทั้งเฮดแบงด้วยแบบไม่กลัวเป็นลมเป็นแล้งใดๆ ทั้งสิ้น (มีที่ค้ำตัวไง) Deeper Deeper: ตายห่ากันไปเลย! เราคิดว่าใครที่ตามวงนี้อยู่ เพลงนี้ถือเป็นเพลงโปรดด้วยแน่นอน แค่เบสของเรียวตะขึ้นก็กรี๊ดแล้ว แถมอีเสียงกระแอมคอสดๆ ของทากะอีก มาค่ะ ให้เฮดแบงนาน 10 นาทีก็ไหวค่ะ Taking Off: เพลงจากอัลบั้มล่าสุด ที่ถูกเลือกมาทำวิดีโอโปรโมท คือเอาจริงๆ มันก็ไม่ร็อคเท่าอัลบั้มก่อนๆ หรอก แต่ข้อดีของเล่นสดคือการเล่นให้มันกว่าเดิมได้ไง แล้วพลังของสมาชิกแต่ละคนที่เหลือล้นอยู่แล้ว มันก็จะมันกว่าฟังออดิโอ้ขึ้นมาอีก จบ 4 เพลงก็ทักทายผู้ชมกันเล็กน้อย ก่อนจะต่อด้วย 20/20: คงที่ระดับความมันไว้เท่ากับ Taking Off เพลงนี้เราชอบเนื้อเพลง โดยเฉพาะท่อนฮุค Now I can see exactly who you are pretending... I will never let you back into my life!!! เรียกได้ว่าเราร้องแหกปากดังมาก ณ จุดนั้นคือไม่สนใจใครละ แต่ แต่ แต่ แต่ที่พีคไม่ใช่เรื่องเพลง แฟนเกิร์ลอย่างเรากรีดร้องหนักมากเพราะการสกินชิป (Skinship) ของทากะและโทรุ คือกรีดร้อง มือจิก ปากก็พูดคำว่าเกลียดดดดดดด ลากเสียงยาวออกมาดังๆ คือนางรู้ว่าแฟนชอบให้นางสกินชิปเป็นคู่จิ้นกัน นางก็แฟนเซอร์วิสกันสุดๆ ไปเลยเจ้าค่าาาา (ตัดภาพมาที่เราที่แทบอยากจะหายตัวไปโผล่บนเวที แล้วแทรกกลางไปอยู่ระหว่างมนุษย์ทากะและโทรุ) หึ!! Cry Out: ทัวร์ครั้งนี้ร้องเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ คือเพลงนี้ถ้าใครเคยดูไลฟ์ทั้งในโลกความเป็นจริง และโลกยูทูปจะต้องอยากดูครั้งแล้วครั้งเล่า ดูซ้ำอีกเรื่อยๆ เราชอบท่อนคอรัสของโทรุ "voices all around" เป็นพิเศษ ถ้าร้องตามทีไร ต้องมีดื่มน้ำตาม และเป็นอีกเพลงที่แฟนเพลงมักจะทำ circle pit แต่รอบนี้ก็อดกันไป เพราะเค้าห้ามไว้ (ร้องไห้้้ อดดูเซอร์เคิลพิทจากมุมสูง) Clock Strike: เป็นเพลงที่มีสัญลักษณ์บอกก่อนเริ่มเพลงเสมอ นั่นคือท่านาฬิกาของทากะ แล้วทุกคนก็จะทำตามกันใหญ่ Bedroom Warfare: เพลงในอัลบั้มใหม่อีกเพลง ที่มันก็ไม่ได้ร็อคหนักมาก แต่พอร้องสดเล่นสดแล้วมันนะ โดยเฉพาะการเพิ่มโซโล่ของแต่ละคนแทรกเข้ามาด้วย ส่วนทากะก็แย่งซีนกลับมาโดยการทำแจ็คเก็ตนอกหล่น เปิดไหล่โชว์อยู่นั่นแหล่ะ (การสังเกตนี้ คือความแฟนเกิร์ลล้วนๆ 5555) 69: เป็นช่วงทากะบ่นไปเดินไปนั่นเอง ระหว่างที่รัวเนื้อเพลงก็เดินไปเวทีทั้ง 2 ฝั่งเพื่อเข้าถึงแฟนเพลงไปด้วย Always Coming Back: เป็นเพลงที่เราดูในเทปบันทึกรอบ Nagisaen ปี 2016 แล้วรู้สึกว่าอยากฟังสดมากๆ ก็เป็นเพลงพักเก็บแรงกันไป ช่วงท่อน Oh Oh Time goes by ก็ได้แฟนเพลงช่วยคอรัสประสานเสียงกันทั้งฮอล คือทุกคนตั้งใจเงียบฟัง ตั้งใจ Oh Oh กันมากๆ จบครึ่งแรกไป ก็พักกันด้วยช่วง MC นาง4คนก็เมาท์กัน แบบไม่ได้ทัวร์ในประเทศมาเกือบ 2 ปี ไม่ได้มาโอกินาว่านานมาก ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง พูดคุยเรื่องอาหารโอกินาว่า บลาๆๆ มีสลับกันปล่อยมุข มีตอนนึงที่ทากะปล่อยมุข แล้วทุกคนเงียบ นางถึงกับเอียงคอถามว่าไม่ตลกเหรอ (สงสารรรและเอ็นดูนางในเวลาเดียวกัน 555) นี่คือข้อดีของการมาดูไลฟ์ที่บ้านเกิดนาง เพราะนางจะเมาท์กันยาวววววว ต่อกันด้วยช่วง acoustic ซึ่งรอบนี้เลือกเอาเพลงประจำชาติของวงอย่าง Wherever You Are มาร้อง แต่re-arrange ใหม่ Wherever You Are: รอบนี้โทรุเล่นกีตาร์ โทโมยะเล่นเปียโน และพีคคือเรียวตะเล่นวิโอล่า แล้วคือเพลงนี้เราอึดอัดมาก เพราะทั้งฮอลเงียบมาก เงียบกริบจนได้ยินเสียงแอร์ คือทุกคนตั้งใจฟังกันมาก เรานี่ก็ได้แต่กัดฟันไม่ให้เผลอร้องเสียงดังออกมา แต่เวอร์ชั่นนี้คือดีงามพระราม 8 จริงๆ Listen (feat. Avril Lavigne): เพลงนี้ทากะไปยืนให้ไฟส่องและกล้องจับที่หน้าอยู่ฝั่งซ้ายของเวที ส่วนฝั่งขวาเป็นวีทีอาร์ที่เริ่มต้นด้วยการที่เอวริลโทรศัพท์หา เป็นบทสนทนาสั้นๆ ก่อนจะเข้าเพลง ก็เหมือนทากะกับเอวริลร้องด้วยกันอ่ะ เพราะที่มอนิเตอร์ก็จะเป็นวีทีอาร์ทั้งคู่ร้องคู่กันอยู่ เพลงนี้สงสารทากะ นางน่าจะร้อน เพราะต้องให้ไฟสปอตไลท์ส่องหน้าทั้งเพลง จบช่วงอคูสติกไป ทากะก็ลงเวทีไปพัก ปล่อยให้ 3 คนที่เหลือโซโล่เข้าช่วง Instrumental ช่วงนี้คือเดือดมากจริงๆ ใครที่ตามดู Instumental ของวงนี้ จะเห็นลูกเล่นและพัฒนาของวงที่เดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกทัวร์ แต่เราว่าไม่มันเท่า Nagisaen เท่าไหร่ กลับเข้าครึ่งหลัง ทากะกระโดดเด้งลอยตัวขึ้นมาจากใต้เวที Bon Voyage: เพลงนี้เล่นสดได้ดีอีกเพลง และมันกว่าออดิโอ้เช่นเคย มีเล่นแสงสีหนักในเพลงเหมือนกัน Start Again: มีเพลงประจำชาติให้เซอร์เคิลพิท เพลงชาติให้ยืนสงบนิ่งน้ำตาไหล แล้วก็ต้องมีเพลงให้ Jump ด้วยเช่นกันถึงจะครบสูตร และทัวร์รอบนี้เพลงนี้คือเพลงสำหรับการกระโดดค่ะท่านผู้ชม ทากะขอให้คนดูนั่งลง ก่อนจะนับถอยหลัง three two one ให้กระโดดตามสเต็ป และเพลงนี้ถือเป็นเพลงที่ต้องฝึกพลังปอดไปให้หนักๆ เพราะท่อนโว๊ะโอ๊ะโอฯนั้น ทากะนางจะส่งไมค์ให้แฟนเพลงร้องกัน และให้ร้องหลายรอบมากๆ (ย้ำว่าหลายรอบมาก) ร้องวนไปจนกว่าปอดจะฉีก! I Was King: ซาวด์อินโทรขึ้นก็รู้ทันทีว่าเพลงอะไร ก็ร้องคลอกันไป เพลงนี้ไม่พีคอะไรมาก แล้วก็เข้าสู่ MC อีกรอบ เป็นช่วงเดี่ยวไมโครโฟนตามสเต็ปของทากะ ที่จะพูดดึงอารมณ์ของคนดู ก็ประมาณว่าพูดถึงเส้นทางของวงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เส้นทางที่วงเลือกเดินและความตั้งใจของวง ต่อจากนี้ไปก็ฝากเนื้อฝากตัวกันด้วย ประมาณนี้ ก่อนจะโค้งให้แฟนเพลงยาวๆ 1 ที แล้วดึงกลับมาที่เพลงอีกครั้ง Take What You Want: อีก 1 เพลงที่เราอยากฟังมากที่สุดในการทัวร์ญี่ปุ่นปีนี้ คือชอบเนื้อหาของเพลงนี้เป็นพิเศษ แล้วยิ่งฟินเพิ่มอีกหลายเท่า เพราะวง re-arrange เพลงนี้ใหม่เป็นกึ่งอคูสติก คือแม่งงงงงง ทำไมขนลุก ทำไมน้ำตาคลอล่ะกู?! คือประทับใจการเรียบเรียงทำนองใหม่ของเพลงนี้มากจริงๆ ยืนปรบมือให้ยาวๆ ไปค่ะ The Beginning: อีกเพลงชาติ เพลงประจำวง พอทุกคนรู้ว่าจะเป็นเพลงอะไรก็ยกมือทำท่าประกอบตามทากะทันที และแน่นอนว่าเราไม่ได้มองอะไรเท่าไหร่ มัวเฮดแบงอยู่นั่นเอง ใครไม่เฮดแบงเพลงนี้นี่ ยอมใจ! Mighty Long Fall: จัดมาเป็นชุดแบบไหนๆ ก็จะจบแล้ว พวกแกจงเฮดแบงให้หมดพลังแล้วล้มพับลงไปซะ!! (ประมาณนี้ 55) แต่เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวย เล่นเซิร์ฟไม่ได้ ทากะนางเลยได้แค่เดินลงมาจากเวที มาเกาะรั้วร้องกับแฟนเพลงแค่นั้น We Are: ถือเป็นเพลงชาติเพลงใหม่อีกเพลง เพราะดูแฟนเพลงญี่ปุ่นจะอินกับเพลงนี้มาก อาจจะด้วยผลของการทำ 18Fes. version ออกมาก่อนหน้านี้ ก็คือดี เหมือนแฟนเพลงก็เตรียมตัวมาดี พร้อมใจกันประสานเสียงประหนึ่งโชว์งานโรงเรียน มือไม้นี่ออกกันหมดแทบทุกคน ซึ่งในคอนฯก็เล่นเวอร์ชั่นนี้ที่มีโซโล่ของโทรุ มีท่อนให้แฟนเพลงร้อง มีการแอดลิปของทากะ คือมาครบ ใครชอบเวอร์ชั่นนี้อยู่ต้องฟินมากแน่นอน แล้วก็จบ 21 เพลง (รวมอินโทรฯและช่วงอินสตรูเม้นท์) มาค่ะ อีกฮึบเดียวเท่านั้น หลังจากให้แฟนเพลงปรบมือ ส่งเสียงเรียก แล้วทุกคนก็เริ่มทยอยเปิดแสงไฟจากมือถือกัน เราเห็นเค้าเปิดก็เปิดตาม แต่ไม่ได้เปิดกันทั้งฮอลนะ ก็ไม่ได้เต็มฮอลสวยงามซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้โล่งจนเกิดความรู้สึกแบบ มึงทำอะไรกัน
แล้วเพลงที่เราอยากฟังมากของมากที่สุดก็มาถึง One Way Ticket: re-arrange ใหม่อีกเพลงให้เป็นกึ่งอคูสติกจ้า สมาชิก 4 คนมาเรียงแถวหน้ากระดานกัน เรียวตะเล่นเปียโน โทรุแม่นางก็เล่นกีตาร์ตามเคย ส่วนโทโมยะก็เล่นกลอง (Small Timpani) คือทุกคนก็เงียบตั้งใจฟังตามเคย แต่อีนี่อึดอัด เพลงที่อยากร้องมากที่สุด ทุกคนดันเงียบ ทนไม่ไหว กลั้นเสียงจนตัวสั่น (อันนี้เวอร์ 55) สุดท้ายก็ร้องคลอโดยไม่องไม่อายทุกคนที่เงียบอยู่แต่อย่างใด Kanzen Kankaku Dreamer: เพลงนี้ถูกเลือกเป็นเพลงปิดได้แบบ พวกแกจงตายไปพร้อมกับความมันของเพลงนี้! 23 เพลง ใช้เวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมง คือโปรดักชั่นดีงามพระราม 8 มากๆ ส่วนการร้องการเล่นสดของทั้ง 4 คนก็ไม่มีตก พลังเยอะกันมากจริงๆ ทากะนี่ทั้งร้อง ทั้งวิ่ง ทั้งกลิ้ง ทั้งโดด แม่งพลังยังไม่ยอมตกเลย ยอมใจนาง! พอจบ 23 เพลง ก็มีถ่ายรูปรวมกับ MONGOL800 และแฟนเพลง ก่อนที่สมาชิกทุกคนจะเดินไปยืนโค้งคำนับให้แฟนเพลงทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวา และตรงกลาง ซึ่งระหว่างนั้นก็มีโยนไม้กลอง โยนปิ๊กกีตาร์ โยนผ้าเชียร์ให้แฟนเพลงไปเรื่อยๆ แต่ฉันอยู่ไกลจากแรงเหวี่ยงของพวกเธอมากจะพี่จ๋า เลยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย การตัดสินใจมาดูทัวร์ของวงนี้ที่บ้านเกิดของนางเรียกว่าฟินค่ะ ฟินจนอยากจะมาอีกรอบในวันถัดมา แต่ติดที่ไม่มีเงินให้ซื้อบัตรเพิ่มแล้ว 555 ใครที่ติดตามวงนี้ และคิดว่าดูวงนี้เล่นสดได้หลายๆ รอบ ก็อันเชิญนะคะ แนะนำว่าซักครั้งต้องมาดูรอบทัวร์ที่ญี่ปุ่นให้ได้ แล้วจะอยากมีครั้งต่อๆ ไปเหมือนกับเราแน่นอน นี่ก็แอบอยากจะตามไปดูที่โตเกียวตอนเดือน พ.ย.ที่จะถึงนี้ ที่วงจะเล่นเปิดให้ Linkin Park ใครมีแพลนเหมือนกันทักมาได้ ;) เดินออกจากฮอลมาด้วยความปลื้มปริ่มพริ้มใจ แล้วก็ออกมาพบกับความเป็นจริงว่ารถบัสหมดไปตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้ว และไม่มีรอบเสริม (คอนฯเลิกเกือบสี่ทุ่ม) ห่า!!! เหนื่อยมากนะจ๊ะพี่จ๋า นี่ยังต้องมาลากสังขารเดินหาสายรถบัสที่ยังวิ่งอยู่ด้วยเหรอ สรุปเดินกิโลฯกว่าจนไปเจอสายที่ยังวิ่งเข้าเมืองพอดี พอได้ขึ้นรถบัสปุ๊ปก็เหมือนนิพพาน งานหน้าถ้าจะมาดูที่โอกินาว่าอีกคงต้องหาคนขับรถเป็นมาด้วย จะได้เช่ารถขับให้มันจบๆ กันไป และใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ได้ถือว่าเก่งมากจริงๆ ขอนับถือและโค้งคำนับให้ สำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณและสวัสดีค่ะ =/\= เช่นเดียวกันกับ HONNE Live in Bangkok คอนเสิร์ตมีต้นเดือน อัพรีวิวปลายเดือน เย้! สำหรับ The Temper Trap เรามาฟังจริงจังก็อัลบั้มหน้ากากจิ้งจอกนี่แหล่ะ (มีความอยากพิมพ์คำว่า "หน้ากาก" ตามกระแส 55) ด้วยความที่ไม่ได้ไปดูตอน Good Vibes Festival ที่มาเลเซียเมื่อปลายปีที่แล้ว พอเดือนธันวาคม 2016 ผู้จัดที่สิงคโปร์ประกาศว่าจะมี The Temper Trap Live in Singapore ก็ตื่นเต้นกับเพื่อนมาก คุยกันว่าวงจะมาไทยด้วยป่าวนะ เราก็บอกเพื่อนไปว่า กระแสในไทยไม่แรง ไม่มีผู้จัดกล้าพามาหรอกมั้ง แต่ก็ยังลังเลอยู่ ก็ตัดสินใจรอข่าวกัน แต่พอผ่านปีใหม่มาก็แล้ว กลางเดือนมกราคมก็แล้ว ข่าวฝั่งไทยก็ยังเงียบ สุดท้ายเรากับเพื่อนเลยตัดสินใจจองบัตรที่สิงคโปร์ พร้อมจองตั๋วเครื่องบิน และที่พักเสร็จสรรพ . . . 3 วันให้หลัง SOUNDBOX The Temper Trap Live in Bangkok .... พ่อ!จ๋ามากๆ รู้สึกเหมือนสวรรค์ชัง! ก็เลยลองติดต่อไปทางสิงคโปร์ดู เผื่อจะขอยกเลิกแล้วขอรีฟันเงินคืนได้ แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือยกเลิกไม่ได้ค่ะ ให้เพื่อนหรือคนที่รู้จักมาแทนละกันนะคะ จ้ะ! ไม่ยกเลิกก็ได้ ไปก็ไป สุดท้ายก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจอยู่บ้าง ส่งบัตรพร้อมสิทธิ meet & greet ให้ Billboard Thailand มาแจก เราก็เลยจัดเรียงความชุดใหญ่ไป และได้บัตรพร้อมสิทธิมีทสำหรับรอบที่ไทยมาครอบครองได้อย่างที่ใจหวัง (คือถ้าไม่ได้ ก็คงซื้อบัตรอยู่ดี คนมันอยากดู ก็ต้องยอมน่ะนะ) คอนเสิร์ตมีเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมาที่ Muang Thai GMM Live House ด้วยความที่ต้องเข้าไปมีทกับ The Temper Trap ตอนที่ electric.neon.lamp เล่นอยู่ เลยอดดูวงเปิดวงแรก (โชคดีที่เพิ่งดูไปตอน Melody of Life 10) แต่ออกมาดู Scrubb ทัน ดีใจมาก เพราะตอน Melody of Life 10 พ่ายแพ้ให้กับความหิวไป เลยขึ้นไปกินข้าวแทนที่จะเดินออกมาดู Scrubb ^^; ที่ดีใจ เพราะไม่ได้ดูไลฟ์วงนี้มานาน การได้ดูไลฟ์วงนี้อีกครั้งถือเป็นเรื่องดีอีกอย่างของการมาดู The Temper Trap ในวันนี้ ได้ฟังเพลงฮิตเก่าๆ แล้วก็ได้ฟังเพลงใหม่อย่างฝน กับ ทุกวัน ชอบที่วงมักจะมีการ re-arrange เพลงใหม่เวลาเล่นสด มันทำให้เราได้ฟังอะไรที่ต่างไปจากการฟังออดิโอ้ ไม่เบื่อ แล้ววันนี้ก็ได้มือกลองจาก Abuse the Youth กับคีย์บอร์ดจากวง Plastic Plastic มาเล่นด้วย ทำให้ได้ยินซาวนด์เครื่องดนตรีสดๆเต็มๆ ก็ดี ถือเป็นการวอร์มก่อนดูวงหลักได้ดี พอ Scrubb ลงปุ๊ป ด้วยความที่ลงเร็วไปหน่อย เลยมีช่วงเวลาเดดแอร์ค่อนข้างนาน ก่อนถึงเวลาเล่นของ The Temper Trap แต่ยังดีที่ผู้จัดขึ้นรูปปกอัลบั้ม Thick as Thieves ขึ้นเป็นแบ็คกราวน์บนเวทีให้ถ่ายรูปเล่นคั่นเวลา รอได้ซกัพัก ก็ถึงเวลาที่วงขึ้นเล่น เปิดด้วยเพลง Thick as Thieves ค่อยๆบิ๊วอารมณ์คนดู ต่อด้วย Love Lost แล้วก็เข้าหนึ่งในเพลงโปรดของเราจากอัลบั้มใหม่อย่าง Fall Together ร่วงหล่นไปด้วยกัน ไล่สลับเพลงจากอัลบั้มใหม่กับอัลบั้มเก่าไปเรื่อยๆ จนเข้าเพลงที่ 7 Rabbit Hole ซึ่งส่วนตัวชอบไลฟ์สดเพลงนี้เป็นพิเศษ มันล่องมันลอยดี คือออดิโอ้ก็ลอยพอควรแล้ว เล่นสดลอยกว่าอีกหลายเท่าตัว แล้วความเพลินคือการได้ดูโจนาธอน เล่นเบสไป โยกไปนี่แหล่ะ คือนางมีความยุกยิก โยกย้ายตลอดเวลาทุกเพลง ยืนดูโจนาธอนโยก เลยเป็นความเพลิดเพลินอีกอย่างในการดู The Temper Trap แล้วก็ต่อด้วยเพลงดังอย่าง So Much Sky ที่ก่อนจะเล่นเพลงนี้ ระบบเสียงมีปัญหาเล็กน้อย เลยมีเวลาให้ทางวงได้พูดคุยกับแฟนเพลง ซึ่งเอาจริงๆคงไม่อยากคุย ฮ่าฮ่า เพราะวงนี้เป็นวงที่ไม่คุยเท่าไหร่ เน้นเล่นเน้นร้องอย่างเดียว เอ็ฟฟงเอ็กเฟ็กซ์ยังไม่ต้องมี มีแค่แสงสีเป็นพอ พอรอแก้ไขเรื่องระบบเสียง ดักกี้เลยพูดคุยกับแฟนเพลง คำว่า "สวัสดีครับ" "ขอบคุณครับ" นี่คืออย่างชัด หน้าพี่ก็ไทยอยู่แล้ว (ด้วยความที่เป็นคนอาเซียนเหมือนกันอ่ะนะ) สำเนียงยังชัดด้วย นี่ถ้าเดินสวนกับพี่แกในไทย ก็คงไม่ได้สังเกตว่าเป็นดักกี้ ณ เดอะ เทมเปอร์ แทร็พ ก่อนเล่น So Much Sky ดักกี้ก็เลยชวนคนฟังมีส่วนร่วมด้วยการฝึกร้องท่อน โอ่ เอ๊ โอ เอ๊ โอ่ แล้วก็ขึ้นเพลงให้ได้ร้องตามจริงๆกันไป ก่อนจะต่อด้วย Ordinary World, Summer's Almost Gone ซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่เราก็ชอบอีกเพลง เพราะความล่องลอยในช่วงต้นเพลง แล้วค่อยเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ดิ มันเหมาะกับบรรยากาศโพล้เพล้ พระอาทิตย์กำลังจะตกดี ต่อด้วย Science of Fear ซึ่งดักกี้ก็จะโดดลงมาหาคนดูข้างหน้าอยู่เรื่อยๆ แล้วก็เป็นเพลง Resurrection ที่โทบี้ลุกขึ้นมาจากกลองชุด แล้วมาเล่นอิเล็กทริคดรัมแทน จนเข้าเพลงที่ 13 เพลงฮิตอีกเพลงคือเพลง Alive ถือเป็นอีกเพลงที่คนฟังร้องได้เยอะพอตัว โดยเฉพาะท่อนฮุค พร้อมเพียงกันร้องเสียงดังกันจริงๆ Yeah, feel so good. So good to be alive! คือ Good to be alive ที่ได้ดูวงนี้เล่นสดเนี่ยแหล่ะ แล้ววงก็ปิดท้ายด้วยเพลง Drum Song คือเป็นเพลงที่พีคดี แค่เล่น แค่ตีกลองก็เอาอยู่แล้ว และก็ตามธรรมเนียม ดักกี้ยกน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะเทน้ำลงกลอง ตีๆๆๆๆ ตีให้น้ำสาดกระเซ็น เท่มากจริง!!! พอช่วงอังกอร์ ทางวงกลับขึ้นมาด้วยเพลง Soldier On ประหนึ่งว่ากลับไปจุดเริ่มต้นคอนเสิร์ต บิ๊วอารมณ์กันใหม่จ้า และปิดท้ายด้วยเพลงที่ทุกคนรอคอยอย่าง Sweet Disposition จากอัลบั้ม Conditions จบกันไปฟินๆ 16 เพลง ซึ่งเอาจริงๆมันกำลังลอย เลยรู้สึกว่าน่าจะต่ออีกซัก 5-6 เพลง ฮิ! ระบบแสง สี และเสียงของงานยังคงคุณภาพของการจัด SOUNDBOX ไว้ได้ดี ส่วนการแสดงสด แน่นอนว่า The Temper Trap เป็นอีกวงที่ได้รับการขนานนามว่าเล่นสดดี Setlist อาจไม่ได้พีคมาก เพราะเพลงจังหวะโดยรวมมันจะกลางๆหมด พอมาเล่นต่อๆกัน มันเลยไม่ได้พีคเวอร์วัง แต่เราว่าแค่การเล่นเครื่องดนตรีของสมาชิกแต่ละคน และเสียงร้องที่ทรงพลังและโคตรคีย์สูงของดักกี้ก็เอาอยู่แล้ว ซึ่งเราประทับใจในความมัลติทาเล้นท์ของสมาชิกในวง คือทุกคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายมาก มันดูแล้วเพลินดี คือเมื่อกี๊เห็นโทบี้นั่งตีกลองอยู่ดีๆ หันมาอีกทีลุกมาเล่นกีตาร์งี๊ เออ เลิศ!!! เอาเป็นว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ประทับใจมากที่สุดในรอบ 3 เดือนตั้งแต่เริ่มปี 2017 มา วันที่ 10 มีนาคมก็พักหายใจ แล้ว 11 มีนาคมก็บินไปสิงคโปร์ ความพีคเกี่ยวกับ The Temper Trap Live in Singapore อยู่ตรงนี้แหล่ะ คือไฟลท์ดีเลย์ ห่า!!! ลุ้น!!! เพื่อนไปรอที่สิงคโปร์แล้ว นี่ก็นัดเพื่อนดิบดี กูน่าจะถึงที่พักซัก 5 โมงนะ ไปถึงแล้วไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วค่อยไปคอนฯละกัน สรุปไปถึงที่พัก 6 โมงกว่า ต้องรีบวางกระเป๋าแล้วออกไปที่คอนเสิร์ตเลยจ้าาา The Temper Trap Live in Singapore จัดที่ The Coliseum, Hard Rock Hotel ที่อยู่ใน Resort World Sentosa สถานที่จัดเป็นเอาท์ดอร์ และเวทีเตี้ยมาก คือเรายืนหลังๆ ตรงกลางๆ ยืนปกติก็จะเห็นแต่หัวดักกี้ โจนาธอน โจเซฟ และโทบี้ แค่นั้น แล้วพอทุกคนยกมือถือขึ้น ทุกอย่างก็จะหายไปในฝูงชน มองไม่เห็นอะไรเลย ดีว่าดูที่ไทยมาชัดเจนแล้ว รอบที่สิงคโปร์เลยโยกไปตามเพลงเอามันอย่างเดียว ส่วน Setlist ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เก๋หน่อยที่ตอนที่วงเล่น ตรงกับโชว์ปิดที่ Universal พอดี เลยมีพลุเป็นแบ็คกราวน์เก๋ๆ และด้วยความเป็นเอาท์ดอร์ เสียงเลยไม่ตึ้บเท่าไหร่ เอาเป็นว่าประทับใจรอบที่ไทยมากกว่า จบ! SETLIST Thick as Thieves Love Lost Fall Together Fader Burn Trembling Hands Rabbit Hole So Much Sky Ordinary World Summer's Almost Gone Science of Fear Resurrection Alive Drum Song Encore Soldier On Sweet Disposition ![]() MEET & GREET ส่วนแถมคือช่วงที่เข้าไปถ่ายรูปกับวง ต้องขอขอบพระคุณ Billboard Thailand และ BEC Tero Entertainment มา ณ ที่นี้ สำหรับโอกาสที่เฝ้ารอ ♥ ขอบอกเลยว่าพอถึงคิวเรา เราดึงเวลาสุดๆ ใช้เวลาสุดๆ แล้วคือซื้อแก้วช็อทไปให้นางกันคนละใบ แล้วก็บอกวงว่านึกไม่ออกว่าจะให้อะไรดี แต่อยากให้อะไรซักอย่างไทยๆ พอเห็นแก้วช็อทนี้ก็คิดว่าใช่เลย มีลายไทยฉลุด้วย บอกไปว่าตอนพวกนาง take a shot ให้ใช้แก้วนี้นะ จะได้นึกถึงเมืองไทย ทุกคนในวงก็ขำกันใหญ่ แล้วเราก็ถามไปว่าเป็นไง เมืองไทยเป็นไงบ้าง พูดคุยกันประหนึ่งเพื่อนข้างบ้าน บอกวงไปว่า เนี่ย เดี๋ยวไปดูที่สิงคโปร์ด้วยนะ เพราะฉันจองไปก่อนที่พวกเธอจะประกาศมาไทย ทุกคนก็ขำกันอีกรอบ ดักกี้มีบอกว่าเธอนี่ So international! แล้วตอนที่มีท โจนาธอน นางตีนเปล่า เลยแซวไปว่า จะ barefoot บนเวทีด้วยมั้ย นางรีบตอบ ไม่ๆๆ เดี๋ยวไฟดูด 5555 เป็นกันเองมากๆ สำหรับเราถือว่าทำ Bucket list ในปีนี้ได้สำเร็จอีกอย่างเลยล่ะ :) |