ภาพยนตร์ WONDER สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนยอดฮิตปี 2012 ของ R.J. Palacio ถือเป็นภาพยนตร์เสริมสร้างแรงบันดาลใจ ที่ดำเนินเรื่องโดย ออกัสต์ พูลล์แมน เด็กชายอายุ 10 ขวบที่บ้าสตาร์วอร์ส ชอบกินไอติม ติดเกม และ มีครอบครัวที่อบอุ่น แม่ที่รักเขาที่สุดในโลก แต่ ออกัสต์ ป่วยด้วยโรค Mandibulofacial Dysostosis (โรคปากแหว่งเพดานโหว่) ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 10 ขวบ ออกัสต์ เข้ารับการผ่าตัดใบหน้ามาแล้วกว่า 27 ครั้ง คนแปลกหน้ามักเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นหน้าเขา หลายคนมองว่า ออกัสต์ มีหน้าตาที่น่าเกลียด จนไม่อยากเข้าใกล้ แต่คนใกล้ตัว และออกัส กลับไม่คิดแบบนั้น เขาเป็นแค่เด็กชายตัวน้อยที่อยากกินไอติมโดยที่เด็กคนอื่นๆเห็นว่าเขากินจริงๆ เขาอยากแต่งชุดซุปเปอร์ฮีโร่โดยไม่ต้องคอยสวมหน้ากากปิดใบหน้า เขาอยากไปโรงเรียนและเล่นกับเด็กทั่วไปอย่างปกติสุข หนังจะบอกเล่าผ่านมุมมองและความนึกคิดของตัวละครแต่ละตัว เริ่มต้นจากตัวของเด็กชาย แล้วตามด้วยพ่อแม่ พี่สาว เพื่อนคนแรก เพื่อนที่คอยแกล้ง เพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ผ่านมุมมองของเด็กชายตัวเล็ก ที่มีหัวใจดวงโต และ น่ารักที่สุดในโลก เด็กชายที่มีชื่อว่า " ออกัสต์ พูลล์แมน " ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่นั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้ บอกได้เลยว่ารู้สึกอิ่มเอมอยู่ตลอด ยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของคาแร็คเตอร์แต่ละตัว หัวเราะให้กับมุขตลกน่ารักๆ น้ำตาคลอให้กับความสัมพันธ์ของตัวละคร เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า-ครอบครัว ที่ไม่ว่ายังไงก็ควรหาเหตุผลให้ได้ไปดูเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ให้ได้ จังหวะจะโคนการวางเรื่อง การดึงquoteเด่นๆ จากตัวหนังสือมาใช้ หรือการใส่เพลงประกอบกำลังพอเหมาะพอดี มีแค่บางช่วงที่รู้สึกว่าขาดบางอย่างไป แต่ก็ไม่ได้เป็นผลกับตัวเรื่องหรืออรรถรสในการชมเลย การนำเสนอไม่ได้นำเสนอแค่มุมมองของตัวละครใดตัวละครหนึ่ง แต่เล่าผ่านมุมมองที่หลากหลาย ทำให้เราได้มองความเป็นจริงบนโลกนี้ในหลายๆ แง่มุม และในขณะเดียวกันก็หยิบยื่นทางเลือกในการมองโลกให้กับเราด้วยว่าจะลองมุมไหนดี ส่วนการแคสติ้งนี่ต้องบอกว่าดีงาม โดยเฉพาะบทอ๊อกกี้ (หรือออกัสต์) ที่น้องเจค็อบแสดงได้ดีมากๆ ไม่แพ้เรื่อง Room ที่น้องเล่นเอาไว้เมื่อปี 2015 เลย และไม่ใช่แค่เจค็อบนะ แต่บทอื่นๆ ก็เล่นได้ดี เล่นได้อินจนเราเชื่อไม่แพ้กัน อย่าวโอเวนงี๊ ก็สลัดภาพเพลย์บอยสายฮาที่เราชินตามาเป็นคุณพ่อผู้แสนอบอุ่นได้ดี มีบทในเรื่องทีไร เราต้องอมยิ้มให้กับความอบอุ่นของนางทุกที และที่บทเราตกหลุมรักสุดๆ ในเรื่องนี้ก็คงจะเป็นน้องโนอาห์ รับบทเป็นแจ็ค ที่เล่นได้เหมาะกับคาแร็คเตอร์ได้แบบน่ารักน่าเอ็นดูสุดๆ ถือเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องของ Stephen Chbosky ที่ดีงามสุดๆ อีกเรื่อง (จะสุดๆ อีกกี่ครั้ง? 555) ไม่แพ้ The Perks of Being a Wallflower หรือ Beauty and the Beast เลยล่ะ หรือใครเป็นแฟน Star Wars ก็น่าจะหลงรักเรื่องนี้เหมือนกันนะ ;) มาที่เรื่องของซาวน์แทร็คประกอบภาพยนตร์กันบ้าง ดนตรีหรือเพลงส่วนใหญ่เป็นแนวเบาๆ สบายๆ ตามสไตล์ภาพยนตร์แนวครอบครัว แต่พอหยิบมาวางให้เหมาะกับฉากแล้ว มันโคตรจะดีเลย ไม่ต้องมีบทพูด แค่ฉากอ๊อกกี้เดินกระโดดหยองๆ คลอด้วยเสียงเปียโน THE STAR AND THE MOON ของ Marcelo Zarvos นักเปียโนและนักประพันธ์เพลงชาวบราซิล แค่นั้น ก็อมยิ้มมีความสุขได้แล้วจริงๆ ซึ่งซาวน์แทร็คในเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นดนตรีของลุง Marcelo แกนั่นแหล่ะ ใครเป็นแฟนดนตรีของแกน่าจะปลื้มน่าดู แต่สำหรับเราแล้ว ขอยกเพลงประกอบในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เราชอบที่สุดมาให้ลองไปหาฟังกัน 3 เพลง คือ 1. เพลงแรกต้องยกให้เพลงนี้เลย We're Going to be Friends ของ The White Stripes เพราะเป็นเพลงที่เราชอบมากๆ ของวงนี้ คือมันแบบคิ้วๆ ฟีลลิ่งกู้ดมากๆ ได้ฟังทีไรคือจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อีก 25% (โดยไม่ต้องไปหาขนมมากิน 55) 2. Break the Rules ของ Butterfly Boucher เพลงแนว Pop Rock ที่สนุกดี ถ้าได้ฟังสดก็น่าจะกระโดดตัวลอยได้ และที่สำคัญเสียงของนางมีความก้ำกึ่งระหว่างเสียงผู้ชายกับเสีบงผู้หญิงมากๆ จนตอนแรกเดาไม่ถูกว่าเพลงร้องโดยเพศสภาพไหน 3. Monster Mash ของ Bobby Boris Pickett & The Crypt Kickers เพลงยุค 60 ที่ไม่เคยฟังมาก่อน แต่หลงรักเลยล่ะ เป็นเพลงแนว Novelty Song ที่ฟังแล้วอยากจะลุกขึ้นมาโยกย้ายส่ายสะโพกเบาๆ ต้องลองไปหาฟังกันดูนะ เพราะนางติดอันดับ 1 Billboard Hot 100 ในปี 1962 ด้วยนะเหวย นอกจาก 3 เพลงที่ยกมา ยังมีเพลงดีๆ อีกหลายเพลงเลย เอาเป็นว่าเข้าโรงไปนั่งดู นั่งฟัง แล้วก็เลือกเพลงที่ชอบมาหาฟังต่อละกันนะ #ChooseKind
0 Comments
|
|