ในทุกๆ ปี เชื่อว่าคนที่ชอบดูดนตรีสด ชอบดูคอนเสิร์ต จะต้องตื่นเต้นและเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้เทศกาลดนตรีต่างๆ ทั่วโลกประกาศไลน์อัพศิลปินที่จะขึ้นเล่นที่งาน หลายๆ งานที่ทำตาลุกวาวแค่ได้เล่นไลน์อัพ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ไปก็ตาม หลายๆ งานก็ทำเอาใจสั่น มือสั่นจนอยากจะกดจองบัตรให้รู้แล้วรู้รอดไป และช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่าไลน์อัพเทศกาลดนตรีแถบ South East Asia บ้านเรานั้นก็ดีไม่แพ้เทศกาลดนตรีอื่นๆ เลย อย่าง Good Vibes Festival ที่ประเทศมาเลเซีย ที่ไลน์อัพเด็ดติดต่อกันมาหลายปี จนปีนี้ทำเอาจำนวนผู้เข้าชมพุ่งปรี๊ดเกือบ 2 หมื่นชีวิตที่เข้ามาอัดกันอยู่ในพื้นที่จัดงาน สำหรับปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่เราได้มีโอกาสได้เดินทางไป Good Vibes Festival หลังจากทำการบ้านเรื่องตารางขึ้นเวทีของศิลปินที่อยากดู สภาพอากาศในวันงาน แผนผังงาน วิธีการเดินทางแล้ว เรากับเพื่อนๆ รวมทริปอีก 5 ชีวิตก็เดินทางจากไทยช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ 21 ก.ค. 62 และถึงที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ เวลาเที่ยงโดยประมาณ (เวลาท้องถิ่น) ช่วงที่เราแลนด์ดิ้ง เป็นช่วงที่มีกรุ๊ปทัวร์ลงพอดี ทำให้ต้องใช้เวลาซักพักกว่าจะผ่านตม.ออกมาได้ และเดินไปขึ้นรถตู้ที่รอรับเราไปส่งยังโรงแรมต่อ จากสนามบินไปยังสถานที่จัดงานนั้น ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนโรงแรมที่เราพักนั้นตั้งอยู่เหนือ Genting Highlands ขึ้นไปอีก บวกกับจำนวนรถที่คับคั่งเพราะทุกคนต่างพักในโรงแรมใกล้เคียงกันหมด ทำให้ใช้เวลาสิริรวมเกือบ 3 ชั่วโมงก่อนจะถึงที่พัก รีบเก็บข้าวของ เพื่อมานั่งชัตเติ้ลบัสลงมายัง Genting Highlands เพื่อนั่งกระเช้าลงมายังสถานที่จัดงานต่อนั่นเอง กระเช้าจาก Genting Highlands นั้นมี 2 จุด จุดแรกคือ Genting Skyway ผู้ที่มีริสแบนด์เทศกาลดนตรีสามารถนั่งฟรีลงมายังสถานที่จัดงานได้เลย ทำให้ปริมาณคนที่ต่อแถวยาวมาก แบบยาววววววววมากจริงๆ จนเราต้องยอมแพ้ เดินมาอีกจุดคือ Awana SkyWay ที่ต้องจ่าย 9 ริงกิตเพื่อลงมาปลายทางที่ SkyAvenue แล้วนั่งชัตเติ้ลบัสฟรีอีกต่อเพื่อลงไปที่งานแทน ด้วยความที่ถึงที่พักช้ากว่ากำหนด แถวต่อนั่งกระเช้าที่แสนยาวเหยียด ได้ขึ้นกระเช้าจริงๆ ตอน 6 โมงนิดๆ หันไปถามทีมงานผู้จัดที่นั่งกระเช้าลงมาด้วยกันว่า “เราจะลงไปทัน Joji กันรึเปล่านะ?” ทำเอาสต๊าฟได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบ ใช่ค่ะ!!! ดิฉันนก Joji ค่ะ ศิลปินแรกที่อยากดูเป็นการเปิดงานสำหรับครั้งนี้ ดิฉันได้พลาดการเล่นสดของเขาไปแล้วค่ะ! ได้แต่นั่งฮัมเพลงของโจจิอย่างเศร้าสร้อยบนกระเช้าที่กำลังเลื่อนลงสู่ปลายทาง เดินทางถึงสถานที่จัดเทศกาล และตรงดิ่งไปยังเวที Blue Stage ในทันทีเพื่อให้ทันดู Cigarettes After Sex เราพลาดคอนเสิร์ตในไทยของวงนี้มาตลอด ในที่สุด ก็ได้ดูซักที ได้ฟัง Nothing's Gonna Hurt You Baby สดๆ ให้เป็นบุญหู บรรยากาศช่วงพลบค่ำ มีลมเบาๆ ได้ยืนดูและฟังเพลงของวงนี้แบบเอาท์ดอร์คือเคลิ้มมากๆ นอกจากเพลง Nothing's ฯลฯ ในตอนท้ายวงก็เรียกเสียงเฮจากคนดูได้มากกว่าเดิมอีกด้วยการเล่นเพลง Apocalypse และ Dreaming of You หลังจาก Cigarettes After Sex ลงเวทีไป เราก็ขยับตัวเล็กน้อยมาที่อีกเวที ที่ตั้งอยู่ข้างๆ กันเลย อย่าง Red Stage เพื่อดูวงที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราอยากมา GVF ในปีนี้ นั่นก็คือ Nothing But Thieves เรามีโอกาสได้ดูวงนี้เล่นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งที่บาเซโลนา แต่พลาดตอนที่วงมาไทย และพลาดมากกว่าเดิมอีกตรงที่วงเล่น Broken Machine ที่เราอยากดูเล่นสดมากๆ เลยกะจะมาแก้ตัวรอบนี้อย่างมีความหวังว่าวงจะเล่นเพลงที่ว่า แต่จนแล้วจนรอด รอลุ้นจนถึงเพลงสุดท้าย วงก็ไม่เล่น Broken Machine จ้ะแม่ (ร้องไห้ให้กับความพญานกของตัวเอง) แต่เหนือสิ่งอื่นใด การเล่นเอาท์ดอร์รอบนี้ของ Nothing But Thieves คือดีมากๆ ซาวน์แน่นตึ้บ เสียงร้องของคอเนอร์ดีไม่มีตกตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย โซนข้างหน้านี่โดดกันมันเลย เปิดเวทีด้วยเพลง Forever and Ever More และปิดด้วยเพลงฮิตทั้ง Sorry และ Amsterdam เรียกความฮึกเหิม ปลุกจิตวิญญาณในการดูดนตรีกลับมาได้หลังจากเศร้าสร้อยเพราะพลาดโจจิไป หลังจากจบน็อตติ้ง ยืนดู Mura Masa ต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็เดินออกมาหาอะไรกินที่โซน Good Bites โซนอาหารที่มีทั้งอาหารทานง่าย อาหารท้องถิ่นมาเลฯ ขนมนมเนย และเครื่องดื่มแบบไม่มีแอกอฮอล์ให้เลือกซื้อกิน แต่ต้องต่อแถวรอกันซักหน่อยน่ะนะ ถ้ารอไม่ไหว ขอแนะนำอีกโซนฝั่งเวที Electric Fields เรียกว่าโซน Electric Bites ที่คนจะน้อยกว่าหน่อย เพราะไม่ใช่โซนเวทีหลัก ที่ GVF ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และ merch.ของศิลปินนั้น จะต้องจ่ายผ่านการสแกนริสแบนด์ทั้งหมด ซึ่งจะมีจุดเติมเงินภายในงานอยู่ เริ่มจาก 20 / 50 / 100 / 200 RM (ประมาณนี้) ข้อดีคือ ไม่ต้องเสียเวลาล้วงกระเป๋านับเงินจ่าย และที่สำคัญคือหากใช้ไม่หมด สามารถแลกรับเงินคืนได้ที่จุดรับแลกบริเวณซุ้มหน้าทางเข้าเทศกาลด้วย พักเติมพลังกันเรียบร้อย เราก็เดินไปยัง Electric Fields เพื่อดูอีก 3 ศิลปินในไลน์อัพคืนนี้กันต่อยาวๆ ทั้ง Yaeji ที่ทั้งเล่น ทั้งร้อง ทั้งเอนเตอร์เทนคนดูเองหมด มีความน่ารักยียวนกวนประสาท ส่ายตูดใส่คนดู ให้พอน่ารักน่าหมั่นเขี้ยว ต่อด้วย Jai Wolf ที่เล่นได้ดีจนยืนนิ่งไม่ได้ บวกกับวิชวลที่เปิด ยิ่งดูก็ยิ่งเพลิน หลังจากยืนเต้นตอน Yaeji กับ Jai Wolf กันมา ด้วยความที่เริ่มเพลียแล้ว เลยมานั่งพักฟัง Cashmere Cat อยู่ห่างๆ อีกซักพัก ก่อนจะตัดสินใจพากันเดินกลับออกจากงานมาเพื่อนั่งกระเช้ากลับที่พัก ช็อค!! แถวยาวมากแบบมองไม่เห็นปลายทางและอนาคตของตัวเองว่าจะกลับถึงโรงแรมตอนกี่โมง เดินวนแล้ววนอีก วิญญาณเริ่มหลุดจากร่าง สภาพเริ่มเหมือนซอมบี้ขึ้นทุกนาที จนนาทีที่ได้เหยียบพื้นกระเช้า นาทีนั้นเหมือนได้เหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ยังไงยังงั้นเลย ออกจากงานตอนเกือบตี 1 ถึงห้องพักตอนเกือบตี 3 เรียกได้ว่าเป็นวันที่ใช้เวลาหมดไปกับการเดินทางสุดๆ ล้มตัวลงเตียงแล้วเติมพลังสำหรับอีกวันกันค่ะ! หลังจากนอนเต็มอิ่มและกินอาหารเช้าเติมพลังกันแล้ว ด้วยความที่ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เราเลยไปเดินเล่นที่ First World Plaza แล้วระหว่างเดินเล่นอยู่ เห็นเครื่องเล่นม้าหมุนสีชมพูสุดน่ารักเลยแวะจุด Skytropolis Indoor Theme Park ถ่ายรูปเล่นกัน ทันใดนั้น เพื่อนในกลุ่มก็หันไปเห็นเครื่องเล่นที่กำลังหมุนเหวี่ยงอยู่ แล้วก็อ้าปากชวนทุกคนเล่น ด้วยความที่มีเวลาเหลือ และข้อดีคือมีบัตรจำหน่ายแยกสำหรับเล่นเครื่องเล่น 1 ครั้ง (15RM) แบบไม่ต้องซื้อเหมาได้ด้วย ตัดภาพมาตอนที่ลงจากเครื่องเล่น นึกว่าจะไม่เสียว ลงมามือชุ่มเหงื่อกันไปเลยจ้า! เครื่องเล่นที่เลือกเล่นตอนนั้นคือ Power Surge เป็นเครื่องเล่นที่ทั้งหมุน ทั้งยกสูงขึ้น-ลง ไอ้เราก็ดันเลือกได้ฝั่งที่โดนคว่ำลงพื้น ไม่โดนฝั่งโดนหงาย หลังไม่ติดเบาะ ตามองดิ่งลงพื้น หมุนไปหมุนมา คว่ำไปคว่ำมา มือนี่ชุ่มเหงื่อจนแทบจับที่จับไม่อยู่เลยล่ะ ถ้ามีโอกาสก็แวะเล่นกันดูได้ ยังๆ เรายังพอมีเวลา ไหนๆ ก็ขึ้นมาถึงนี่แล้ว เลยลองหาสถานที่ท่องเที่ยวกันอีกซักที่ เมื่อวานตอนที่นั่งกระเช้าลงมา จำได้ว่ามีจุดจอดที่ Chin Swee Caves Temple ก็เลยตัดสินใจลงมาที่วัดดู ด้วยความที่อยู่บนพื้นที่สูง วิวที่เห็นจากหลายๆ มุมของวัดจึงค่อนข้างสวยทีเดียว ถ้ามาช่วงเช้าๆ หน่อย ก็จะได้วิวหมอกอีกด้วย (ไม่มีค่าเข้าชม) แล้วก็ได้เวลา เรานั่งกระเช้าลงมาปลายทาง ต่อด้วยชัตเติ้ลบัสลงมายัง Good Vibes Festival สำหรับวันที่ 2 ต้องบอกเลยว่าเป็นวันที่ทำให้ได้รู้จักวงเจ๋งๆ ของมาเลเซียเต็มไปหมด เราลงมาทัน LUST วง post-punk / alternative pop ที่เล่นได้โจ๊ะดี ต่อด้วย Midnight Fusic วง alternative rock ที่ทำเอาเราตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับหลายๆ เพลงอย่าง Lovesick, Time Machine, Flowers ฯลฯ (เสียดายที่ไม่ทัน The Impatient Sisters เพื่อนที่ลงมาถึงก่อนบอกว่าดี!) ด้วยความที่วันนี้ตารางที่เราวางไว้ สบายๆ หลังจากดูมิดไนท์ฟิวสิคเล่นเสร็จ เลยแวะนั่งฟังดนตรี ดื่มเบียร์แบบสบายๆ จากโซนในพื้นที่ที่ทางผู้จัดกำหนดไว้ (ที่งานห้ามดื่มแอลกอฮอล์นอกพื้นที่ที่กำหนดไว้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นหลายๆ คนก็เลยจะดื่มข้างหน้าก่อนเข้างานก่อน ส่วนพื้นที่สูบบุหรี่... สูบตรงไหนก็ได้จ้า คนที่นี่สูบทั่วทุกที่ แต่ส่วนใหญ่จะใช้บุหรี่ไฟฟ้าซะมากกว่า) ดื่มเบียร์เสร็จ ก็ลากกันไปต่อแถวซุ้มของ Netflix ที่โปรโมท Stranger Things เป็นหลัก มีกิจกรรมและมุมให้ถ่ายรูปเล่น แถมมีของแจกเต็มไปหมดทั้งพิน ทั้งเสื้อยืด Limited Edition นู่นนี่นั่น แฟน Stranger Things ฟินจนลืมเรื่องดนตรีไปชั่วขณะเลยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า มาต่อกันที่เรื่องดนตรี ศิลปินถัดมาที่เรารอดู คือ Rad Museum กับ DEAN ที่เคยมาขึ้นเล่นที่บ้านเรากันแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมาในงาน Maho Rasop: International Music Festival 2018 ที่มาเลเซียก็ยังคงสนุกเหมือนเดิม แฟนเพลงผู้หญิงเยอะพอๆ กับที่ไทย แถมรอบนี้เล่นเพลงใหม่ด้วย แล้วก็เป็น Daniel Caesar อีกศิลปินที่เราอยากจะฟังสดๆ สักครั้ง ซึ่งเล่นสดได้เพราะจริงๆ บรรยากาศแบบฟ้ามืด อากาศเย็นสบาย โคตรเข้ากับเพลงของแดเนียล แถมคนที่นี่ก็ร้องตามกันเสียงดังได้แทบทุกเพลง โยกตามเพลงกันอย่างเพลิดเพลิน จนเพลงสุดท้าย อิ่มเอมใจกันถ้วนหน้า และด้วยความที่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อวาน พอดูแดเนียลจบ พวกเราเลยรีบเดินตรงปรี่ออกมาขึ้นกระเช้าในทันที ผลปรากฎว่าโล่ง!! กลับขึ้นมาถึงโรงแรมอย่างรวดเร็ว มีเวลาได้นั่งดื่มนั่งคุยกันต่ออีกหลายชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน เพื่อเดินทางกลับไทยในวันถัดมา
เป็นอีกเทศกาลดนตรีที่ดีเลยล่ะ บรรยากาศดี ไลน์อัพค่อนข้างดี ใกล้บ้านเรา เดินทางสะดวก แต่อาจจะต้องวางแผนเรื่องการเดินทางกันดีๆ หน่อย เพราะฉะนั้นถ้าใครตั้งใจจะไป Good Vibes Festival ในปีหน้า แนะนำให้เดินทางไปถึงที่เกนติ้งล่วงหน้าก่อนซัก 1 วัน จะได้มีเวลาพักผ่อนและเตรียมตัว วางแผนการเดินทางระหว่างที่พักและสถานที่จัดงาน จะได้ไม่พลาดเหมือนกับเราในปีนี้ สำหรับครั้งนี้ เราร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ ผู้โชคดีและทีมงานจาก ROCK ON RADIO ในกิจกรรม Rock On Flying To Good Vibes Festival 2019 ใครที่ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ ก็ติดตาม กันได้ทั้งทางเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ค แอบกระซิบบอกว่าเขามีกิจกรรมดีๆ แบบนี้ทุกๆ ปี เลยนะจ๊ะ Cover photo: www.goodvibesfestival.com Original review: https://www.noozup.me/1988051 (เขียนโดยข้าพเจ้าเองเนี่ยแหล่ะจ้า) FIB Benicàssim Festival เป็นเทศกาลดนตรีที่เรารู้จักได้โดยการที่เพื่อนแท็กมาผ่านเฟซบุ๊ค เป็นเทศกาลดนตรีอีกเทศกาลหนึ่งของสเปนที่มีมานานกว่า 24 ปีแล้ว หลังจากเห็นไลน์อัพ และภาพบรรยากาศงาน รวมทั้งเป็นเทศกาลที่ยังไม่เคยไป เลยตัดสินใจจองบัตรพร้อมแคมปิ้งที่เป็นแพ็คเก็จครบ คือ บัตรชมเทศกาลดนตรีสำหรับ 4 วัน + พื้นที่กางเต๊นท์แบบ VILLACAMP + เต๊นท์พร้อมที่นอนแบบเตียงคู่ (เลือกได้ว่าจะเป็นเตียงเดี่ยวหรือคู่) + อาหารเช้า ในราคารวมแล้วประมาณ 8000 บาท โดยจองกันไว้ตั้งแต่ปลายปี 2017 ก่อนจะหาตั๋วเครื่องบินโปรฯของ Turkish Airlines ได้ไม่กี่สัปดาห์ก่อนเทศกาล 555 (ซึ่งหามาได้ในราคาไป-กลับ 17000 บาท แต่ต้องไป-กลับจากภูเก็ตนะ ก็ซื้อตั๋วไป-กลับ กรุงเทพฯ-ภูเก็ตอีก 2000 บาท รวมแล้วก็ประมาณ 19000 บาท ถูกกว่าไป-กลับจากกรุงเทพฯเกือบเท่าตัว แต่แค่บินเยอะหน่อย แฮ่!) *เต๊นท์มี 2 ไซส์ คือไซส์สำหรับ 2 คน และไซส์สำหรับ 3 - 5 คน เทศกาลนี้จัดที่เมืองท่องเที่ยวริมทะเล Benicassim เราเลยแวะเที่ยวที่บาร์เซโลนาก่อน 1 วัน แล้วค่อยไปนั่งรกบัสทรานซเฟอร์จากสนามบินบาร์เซโลนาไปที่เบนิคาสซิม โดยในการเดินทางใช้เวลาประมาณ 3 ชม. มีจุดนัดขึ้นรถอยู่ที่เทอมินัล 2 รูปปั้นม้าอ้วนที่มีอยู่ตัวเดียว หาง่าย ไม่ลำบาก ใกล้ๆ มีมินิมาร์ทที่แวะซื้อน้ำดื่มหรือของกินรองท้องก่อนขึ้นรถได้ โดยที่จุดนัดพบจะมีสต๊าฟคอยเช็คชื่อและตั๋วรถอยู่ (ค่าโดยสารรอบละ 45 ยูโร ไป-กลับก็ 90 ยูโร สามารถจองผ่านเว็บไซต์ของเทศกาลได้เลย) จังหวะที่ไปถึงจุดนัดขึ้นรถคือตั้งคำถามเลยว่า `นี่กูมาสเปน หรือกูมาอังกฤษ?' 90% ของคนมาขึ้นรถคือเด็กจากเกาะหมดเลย นั่งเมาสำเนียงบริติชอยู่บนรถสุดๆ ที่จริงสามารถเดินทางด้วยรถไฟจากบาร์เซโลนาไปเบนิคาสซิมได้ด้วย แต่สถานีรถไฟจะไกลจากที่จัดงานหน่อย เดินได้ แต่ไม่แนะนำให้เอาสัมภาระไปเยอะ (ที่สนามบินมีที่ฝากกระเป๋า อาจจะแบ่งเอาแค่บางส่วนไปเทศกาลพอ) ตั๋วรถไฟก็แล้วแต่โชคชะตา ตอนแรกเรากะจะนั่งรถไฟเหมือนกัน เพราะเช็คราคาครั้งแรกถูกว่าบัสทรานสเฟอร์ แต่พอรีเฟรชปุ๊ป ราคาขึ้น! แพงกว่า แถมเดินไกลกว่า เลยเปลี่ยนมาจองบัสแทน 555 พอถึงสถานที่จัดงาน ลงจากรถปุ๊ปก็จะมีจุดแลกริชแบนด์ต่างๆ ที่เราจองมา เรากับเพื่อนจองเป็น VILLACAMP เลยต้องนั่งรถบัสไปที่แคมป์อีกต่อ ซึ่งตลกตรงที่ว่าเพื่อนนอนผิดแคมป์มา 1 คืน สต๊าฟเห็นริชแบนด์ก็งงว่าจอง VILLACAMP มานอนที่ CAMPFEST (ที่ดีน้อยกว่าได้ไง) ไม่ใช่แค่สต๊าฟที่งง พวกเราก็งงเหมือนกัน ว่าทำไมปล่อยให้มานอนได้ไงล่ะฮึ จากสถานที่จัดงานจะมีบัสทรานสเฟอร์ไปจุดต่างๆ ของเมือง อย่างชายหาด หรือจุดตั้ง VILLACAMP เป็นต้น ซึ่งค่ารถรอบละ 1.5 ยูโร หรือจะซื้อริชแบนด์แบบเหมาก็ 15 ยูโร (ซื้อกับคนขับรถได้เลย) พอเราถึงจุดตั้ง VILLACAMP ก็เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน คือ VILLACAMP ไกลจากสถานที่จัดเทศกาลมากกว่า (แต่ไม่นานมากนะ เดินได้ แต่ถ้าร้อนก็ไม่ควรเดิน เดี๋ยวเหงื่อจะท่วมตัวก่อนได้ดูดนตรี) VILLACAMP อยู่ใจกลางเมือง ร่มรื่นกว่า ข้างหน้ามีซุปเปอร์ และเบอร์เกอร์คิง มีร้านอาหารเยอะแยะ เดินไปชายหาดได้ ห้องอาบน้ำและห้องส้วมดีกว่า แบ่งเป็นสัดส่วน เป็นห้องๆ ในบังเกอร์อีกที ซึ่งอีกแคมป์จะติดกับเทศกาล แต่แห้งแล้ง เป็นดินฝุ่น ที่อาบน้ำไม่มีอะไรปิด คือต้องเตรียมชุดบิกินี่หรือชุดอาบน้ำมาด้วย เป็นแบบเสาปล่อยน้ำสปริงเกอร์ ไม่แยกชายหญิงใดๆ ทั้งสิ้น ก็ถ้าอยากนอนแคมป์ แล้วสบายหน่อย แนะนำให้เลือก VILLACAMP และถ้าจะสบายขึ้นอีกนิดก็ซื้อแบบมีอาหารเช้าด้วยก็ได้ มีพวกขนมปัง ชา กาแฟ ผลไม้ง่ายๆ ให้กิน 09.00 -12.00 ตื่นมาจะได้เดินไปกินเลย กิจวัตรประจำของคนมาเทศกาลที่นี่ก็จะคล้ายๆ กันคือตื่นมากินอาหารเช้า ออกไปอาบแดดและเล่นน้ำ กลับมาพัก อาบน้ำ หาอะไรกิน แล้วก็ออกไปเทศกาลตอนเย็นๆ ค่ำๆ และอย่างที่พิมพ์มาในตอนแรกคือ 90% เป็นคนอังกฤษ เมาบริติชแอคเซ่นสุดๆ (น่าจะเพราะปีนี้ไม่มีกลาสตันฯ ด้วย) ใครสายฝ. เมานม เมาซิกแพ็ค เมาตูดแน่นอน *เตรียม Power Bank แบบเต็มแม็กซ์ไปด้วย เพราะที่ตั้งแคมป์ไม่มีจุดชาร์จไฟฟรี มีบูธให้เช่าพาวเวอร์แบงค์ แต่แพง เพราะฉะนั้นเตรียมไปให้พอใช้ 4 วัน หรือไม่งั้นก็ต้องไปนั่งชาร์จในเบอร์เกอร์คิง ตามร้านอาหาร หรือสวนสาธารณะใกล้ๆ ที่มีจุดให้ชาร์จไฟฟรี *มีที่พักอย่างพวกโรงแรมหรืออื่นๆ อีกเยอะ ถ้าไม่ชอบลำบากก็ลองหาที่พักแถวๆ ที่รสบัสวิ่งผ่านดูก็ได้ สถานที่จัดงานไม่ใหญ่ มีทั้งหมด 5 เวที เดินแป๊ปๆ ไม่เกิน 3 นาทีก็ถึงอีกเวทีแล้ว แต่ศิลปินหลักๆ ก็อยู่แทบจะเวทีเดียวกันอยู่แล้วล่ะ หลักๆ แล้วเราปักหลักที่เวทีใหญ่สุดคือ LAS PALMAS มีวิ่งไปเวทีรองคือ VISA บ้าง มีแค่ Pale Waves วงเดียวในลิสต์ของเราที่เล่นเวทีเล็กในร่ม ส่วนเวทีอื่นแค่เดินไปส่องๆ ดูเฉยๆ เท่านั้น เอาล่ะมาเริ่มกันที่ DAY1 - Nothing But Thieves เปิดมาเพลงแรก เจ้แกก็ใช้เสียงเต็มพลังเลย สุดๆ มันดี แต่เสียดาย ไม่เล่น Broken Machine คอเนอร์บอกว่าตอนเด็กๆ เคยฝันอยากมาเทศกาลนี้แล้วมาไม่ได้ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ได้มายืนบนเวทีที่นี่แล้ว *เรียกเจ้ เพราะเข้าใจผิดมาตลอดว่าคอเนอร์เป็นมนุษย์เพศหญิง 555 วงเล่นทั้งหมด 14 เพลง มี cover เพลง Immigrant Song ของ Led Zeppelin ด้วย ถือว่าเสียงของคอเนอร์เต็มพลังดีนะ นี่ยังสงสัยว่าร้องเสียงนี้ตลอด 14 เพลงได้ยังไง ครั้งหนึ่งก็ควรดูวงนี้ให้ได้ แต่จะมีครั้งที่ 2 มั้ยก็แล้วแต่คนอ่ะนะ สำหรับเราเฉยๆ แต่ถ้ามีโอกาสและเงิน และรู้ว่าวงจะร้อง Broken Machine ด้วยก็จะดู 555 - Everything Everything ซาวด์ดี เรื่อยๆ ลอยๆ ใครที่ชอบฟังดนตรีสดแบบล่องลอยเบาๆ ไม่ถึงกับเมาอากาศ วงนี้ก็เหมาะ ฟังไปเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศช่วงเย็นๆ ดีอยู่นะ - Two Door Cinema Club สนุกเหมือนเคย เพลงเก่า เพลงใหม่ มาหมด โยกกันเหงื่อไหลเลยล่ะ เป็นวงที่โหวตให้เป็น Band of the Day เลย! ตอนที่ทูดอร์ขึ้น เรากับเพื่อนเลือกไปอยู่โซนหน้าของเวที (LAS PALMAS จะมีรั้วกั้นแบ่งเป็นโซนหน้า และโซนหลัง ตรงกลางมีสต๊าฟคอยเฝ้าอีกที) ซึ่งถือว่าผิดมหันต์ คนแน่น เบียด ชน กระแทก สาดเบียร์ ตัวเหนอะ และถูกมนุษย์อังกฤษสูง 180 กว่า 5~6 คน ล้อมอยู่ช่วงหนึ่ง มองไม่เห็นอะไรเลย แถมยังโดนศอกกระแทกหัวบ้างล่ะ พอยกแขนกัน หน้าเราก็พอดีจั๊กบ้างล่ะ (หลังจากที่ดูทูดอร์จบ ก็ตัดสินใจไม่ขอเข้าโซนหน้าอีกเลย 555) - Pale Waves ในที่สุดก็ได้ดูวงเด็กปั้นของแมตตี้ซักที ซึ่งก็ได้ฟังทุกเพลงที่อยากฟัง เพราะน้องเค้ามีเพลงแค่นั้น ฮ่าาา เล่นดีนะ แต่เล่นแบบตามออริจินัลเลย ไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไร แถมไม่ค่อยพูดค่อยจาด้วย อาจจะยังตื่นเวที ตื่นคนอยู่ น้องเลยเล่นอย่างเดียวเลย - Travis Scott เลือกเป็นศิลปินปิดวันนี้ โปรดักชั่นเล่นใหญ่มาก จอมอนิเตอร์เต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้มีลูกเล่นอะไร เพลงแต่ละเพลงสั้นจนขัดอารมณ์ กำลังเต้นเพลินๆ แล้วก็แบบ อ้าว! ตัดจบ แบบเนี๊ยะ สุดท้ายเลยเดินกลับมาขึ้นรถกลับแคมป์เลย ไม่ดูต่อจนจบอ่ะ *ช่วงก่อนทูดอร์ขึ้น แอบดู J HUS ซักพักด้วย เพราะเห็นเด็กเกาะวิ่งฮือไปดูนางกัน แล้วพอไปดูก็งงๆ เข้าไม่ถึง มีดีเจ แต่ก็เหมือนแค่เอาเพลงดังๆ มาเล่น ร้องก็ไม่ค่อยร้อง ก็ยืนงงๆ กันซักพักว่าอีเด็กเกาะมันชอบเพราะอะไร สุดท้ายทนไม่ไหว เดินออกมารอดู Everything Everything เลย DAY2 - Catfish and the Bottlemen ดูวงนี้เล่นมาเป็นปีที่ 2 รู้สึกว่าครั้งนี้เล่นมันขึ้นกว่าปีก่อนหน้าที่ Mad Cool แต่วงเล่นแค่ 7 เพลง เลยคิดว่าสั้นไปหน่อย - The Vaccines ในที่สุดก็ได้ดู หลังจากพลาดตอนมาไทยไป แต่ก็ไม่ทันตอนมีพีทอยู่ดี วงเล่นทั้งหมด 16 เพลง และแน่นอนว่าเล่น If You Wanna ด้วย มีความชอบแฟชั่นของจัสตินที่ทำให้เห็นขายาวๆ ของจัสตินเต็มๆ ส่วนเพลงอื่นๆ ที่วงเล่นเช่น Your Love Is My Favourite Band, Handsome, Nørgaard จบด้วยเพลง I Can't Quit - The Killers ยกให้เป็น Band of the Day เล่นใหญ่ตั้งแต่โปรดักชั่น ใช้สต๊าฟเยอะมาก และใช้เวลาในการเซ็ทเวทีคุ้มมาก แล้วพอตอนเล่นก็มาเต็มจริง คอร้งคอรัสมาเต็มชุดใหญ่ ขนเพลงฮิตมาเต็ม เล่นไป 17 เพลง แถมตอนเพลง Read My Mind ได้ Van Mccann วง Catfish and the Bottlemen ขึ้นมาร่วมแจมด้วย เด็กๆ จากเกาะเอ็นจอยกันมากๆ รวมทั้งเราด้วย และเพลงก่อนขึ้นเพลง For Reasons Unknown ก็มีแฟนเพลงชูป้ายขอขึ้นไปตีกลองบ้างตามกระแสก่อนหน้านี้ โดยที่นี่ได้ Gonzalo แฟนเพลงสเปนขึ้นมาตีให้ ซึ่งนางทำการบ้านมาดีมาก ตรงเป๊ะทุกจังหวะ วงเปิดด้วยเพลง The Man ก่อนจะต่อด้วย Somebody Told Me เพลงฮิตอื่นๆ ก็ Smile Like You Mean It, When You Were Young, Human แล้วปิดด้วย Mr. Brightside DAY3 - The Kooks คือ Band of the Day ประทับใจลุงมากๆ จัดเซ็ทลิสต์มาสนุก วงเคยมาเล่นที่เทศกาลนี้เมื่อปี 2006 และก็กลับมาเล่นอีกทีในปีนี้ จัดให้คนฟัง 15 เพลง เรียกว่าสนุกมากๆ และดีใจที่ได้ดูลุงๆ ซักที - The Horrors เนื่องจาก The Kooks เล่นยาว เลยไม่ได้ดู The Horros เล่นเต็มๆ แต่ก็เล่นดีสมกับชื่อวงนะ มีความหลอนๆ ลอยๆ ดี - Pet Shop Boys เป็นอีกวงที่อยู่ในวงการมานานอีกวง ก็ดูซักหน่อย แต่ก็ไม่ได้อินมากเท่าไหร่ โยกได้ สนุกได้เรื่อยๆ - Bell & Sebastian ได้ดูวงนี้เล่นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนกับที่ได้ดูครั้งแรก เซ็ตลิสท์ก็แทบจะไม่เปลี่ยน แถมระหว่างที่วงขึ้น ฝนตกด้วย เลยต้องวิ่งมายืนหลบใต้ต้นไม้ดู ระหว่างที่ดู Bell & Sebastian เล่นอยู่ ก็มีผู้ชายใส่เสื้อลายคุ้นๆ วิ่งผ่าน ไอ้เราก็เอ๋อๆ อยู่เพราะเกือบตี 2 แล้ว ก็เอะใจช้าไปหน่อยว่าเห้ย! นั่นมันลุงลุควง The Kooks นี่นา แต่พอจะเดินหาก็ไปไกลละ เลยไม่หาละ แฮ่! - Metronomy ก่อนหน้าตอน Bell & Sebastian เล่นฝนตก เพื่อนเลยกลับไปที่แคมป์เพื่อไปเก็บผ้าที่ตากไว้ แล้วสุดท้ายเพื่อนก็เท ไลน์มาบอกว่าไม่กลับมาดูแล้วนะ ส่วนไอ้เราก็ง่วงๆ เอ๋อๆ เลยต้องหาตัวช่วยยืน เดินไปเกาะรั้วหน้าเวทีเลยจ้า เล่นสนุกดี โจ๊ะๆ โยกเพลินๆ ถ้าใครชอบความโจ๊ะ ขอเสนอให้ดูวงนี้เล่นสดดู DAY4 - Madness เหยยยยย เจ๋งดี ถ้ามีโอกาสควรดูให้ได้ ถึงเราไม่ได้ฟังเพลงของวงเยอะ แต่พอได้ดูสด คือสนุกมากกกกก เอ็นจอย ลุงๆ ก็น่ารัก เป็นวงสกาที่เล่นสดได้น่ารักมากๆ หลังจาก Madness กะวิ่งไปดู Wolf Alice ที่อีกเวที แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้ากลับมาจะไม่ได้ที่ยืนตำแหน่งเดิมหรือที่ดีๆ แน่ เลยนั่งรอ Bastille ขึ้นเลย - Bastille คือวงที่เราอยากดูซ้ำเรื่อยๆ เราชอบในความครีเอทดนตรี ครีเอทเนื้อร้อง ความจริงจังของแดน ความฮาของไคล์ ความเป็นเทพเจ้าแห่งการคัฟเวอร์เพลงได้น่าสนใจของวง เรียกง่ายๆ ว่าเราเป็นติ่งวงนี้ ก็เลยอยากดูอีกเรื่อยๆ ซึ่งวงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง รอบนี้ขนเพลงใหม่มาเยอะ แต่ก็ไม่ลืมขนเพลงฮิตมาด้วย มีการมิ๊กซ์เพลงใหม่ มีลูกเล่นในหลายๆ เพลง วงเปิดด้วยเพลง Good Grief และปิดด้วยเพลง Pompeii ระหว่างที่ดู ก็ได้ยินเสียงแฟนเพลงใกล้ๆ ชมวงไม่หยุดปาก เราถือให้วง Band of the Day ของเรา - Liam Gallagher เด็กเกาะรอฟังเต็มไปหมดจ้าาาา ลุงแกก็จัดให้ 14 เพลง 5 เพลงเป็นเพลงใหม่ ส่วนที่เหลือเป็นเพลงของวง มันเลยสนุกตรงนี้ล่ะมั้ง ตรงที่ได้ฟังเพลงของ Oasis เนี่ยแหล่ะ 55 ระหว่างที่ร้องๆ อยู่ก็มีแฟนเพลงปาปลาขึ้นไปใส่เลียมบนเวทีด้วย ลุงแกเหม็นคาวสุดๆ ถึงกับเรียกสต๊าฟมาเก็บปลาไป ก่อนจะแสดงต่อ แถมมีติดตลกด้วยว่า ฉันโดนมาเยอะ มากกว่าอีปลานี่ก็มี แค่นี้เบๆ 555 เพลงฮิตมาหมดอ่ะ ยิ่งตอนท้ายๆ ยิ่งพีค เด็กเกาะก็จะอินๆ หน่อย มาหมดทั้ง เพลง Rock 'n' Roll Star, Morning Glory, Some Might Say, Slide Away, Whatever, Supersonic, Cigarettes & Alcohol, Wonderwall ปิดด้วย Live Forever แต่ไม่ได้ร้อง Don't Look Back In Anger ก็เลยยังไม่พีคสุดเท่าไหร่ จบป๋าเลียมตอนแรกกะจะดู Justice ต่อ แต่ด้วยเวลาที่วงจะขึ้นคือเกือบตี 3 กว่าจะจบก็ตี 4 ไอ้เราก็หมดแรงแล้ว เลยตัดสินใจกลับแคมป์ไปนอนเลย จบเรียบร้อยกับเทศกาลดนตรี 4 วัน ตื่นเช้ามาเก็บกระเป๋า คืนตะเกียงไฟแบบใส่ถ่านและกุญแจล็อคเต้น เช็คเอาท์ (ตอนเช็คอินมีค่ามัดจำเต๊นท์ด้วยนะ 50 ยูโร จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้ หลังเช็คเอาท์แล้วจะได้ค่ามัดจำคืนผ่านบัตรภายใน 1-2 วัน) แล้วก็นั่งรถบัสมาขึ้นบัสทรานสเฟอร์กลับบาร์เซโลนา จบทริปเทศกาลดนตรีปีนี้ ชาร์จพลังเต็มที่ กลับมาทำงานเก็บเงินกันเพื่อเทศกาลดนตรีครั้งต่อไป เย้!
Website: https://fiberfib.com Facebook: www.facebook.com/fibfestival MAD COOL FESTIVAL นี่มันเทศกาลดนตรีที่ไหน ทำไมไม่คุ้นชื่อเลย? นี่เป็นคำถามแรกที่เพื่อนส่งข่าวไลน์อัพงานนี้มาให้ดู ซึ่งพอไล่ดูแล้วเห็นวันที่บนโปสเตอร์เขียนเป็นภาษาสเปนก็พอจะเดาได้ว่าที่ไหน แต่ประเด็นไม่ใช่ว่าที่ไหน ประเด็นคือไลน์อัพดีงามอีกงาน แถมบัตร 3 วัน ราคา 5,000 กว่าบาท!!!! มันมีที่ไหนคะ มันมีที่ไหน?!? เห็นราคาปุ๊ปก็ไม่ลังเลเลย กูจอง!! จองก่อน วีซ่าค่อยว่ากัน 555 MAD COOL FESTIVAL เป็นเทศกาลดนตรีน้องใหม่ที่เพิ่งจัดขึ้นปีนี้เป็นปีที่ 2 โดยจัดขึ้นที่แมดริด ประเทศสเปน ถือเป็นอีกงานที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอีกเทศกาลดนตรีน้องใหม่ยอดเยี่ยมที่น่าสนใจในยุโรป (Best New Festival) ของ European Festival Awards 2016 อีกด้วย (eu.festivalawards.com) เราจองตั๋วช่วงต้นปี 2017 ด้วยราคา 150 ยูโร (รวมค่าธรรมเนียมเป็น 167 ยูโร) โดยจองผ่ายเว็บไซต์ www.festicket.com หลังจากจองตั๋วคอนเสิร์ต ก็มานั่งคิดว่าจะขอวีซ่าเชงเก้นที่ไหนดี พอดีกับว่าตัวเองอยากจะไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัม แล้วเพื่อนบอกว่าเนเธอร์แลนด์ของ่าย ถ้าเตรียมเอกสารครบถ้วน เลยตัดสินใจแพลนทริป 10 วัน อัมสเตอร์ดัม - แมดริด แล้วไปขอวีซ่าเชงเก้นของเนเธอร์แลนด์ ลุ้นพอตัว เพราะเคยพลาดตอนขอวีซ่าออสเตรเลีย แล้วเตรียมเอกสารไปไม่พร้อม เลยไม่ได้ พอต้องมาขอเชงเก้น เลยมีกังวลอยู่ แต่ก็ได้มัลติเปิ้ลมาในที่สุด ซ้อมร้องเพลงสิครับ รออะไร? :) เราบินจากอัมสเตอร์ไปลงที่แมดริดในบ่ายวันที่ 5 พักผ่อนสบายๆ แถวที่พักเพื่อเตรียมไปสู้รบปรบมือกับเทศกาลดนตรีต่อเนื่องใน 3 วันต่อจากนี้ไป แล้วพยากรณ์อากาศที่ดูมาล่วงหน้านั้นก็หักหลังเรา พายุเข้าทำให้ฝนจะตกติดต่อกันตลอดเทศกาลดนตรีจ้าาาา (ชีวิตดีเหลือเกิน!) งั้นมาเริ่มที่รีพอร์ทวันแรกกันเลย DAY I คืนก่อนวันงาน ฝนตก แต่ยังไม่พีคเท่าตอนต่อแถวรอเข้างาน ฝนเทจ้า!!! เปียกไปโหม๊ด รองเท้านี่แฉะเชียว รับริสแบนด์เสร็จ เลยต้องหาที่หลบฝนและกินมื้อเย็น ซึ่งก็คือแม็คโดนัลด์ที่อยู่ห่างจากงานไปกิโลกว่า สู้ตายกันมาก! 555 พอใกล้ถึงเวลา The Lumineers ขึ้น ก็พากันเดินจ้ำมาให้ทันเวลา 19.40 น. แล้วมาพบกับการขึ้นจอว่าโชว์ดีเลย์ อ่ะจ้าาา แต่ดีเลย์ไม่นาน ให้อภัย~ The Lumineers - เล่นดี ชิวๆ ไป แต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปไวมากสำหรับวงนี้ Foals - ล่องลอยดี มีความมันสลับกันไป ลูกเล่นตอนเล่นสดเยอะดี Foo Fighters - จัดเต็มจริง!! ป๋าเดฟแม่ง มีการท้าทายคนดู ว่าระหว่างป๋ากับคนดู ใครจะเสียงหายก่อนกัน ตอนท้ายๆก็มีเล่นมุข Grandpa need to back to hotel, grandpa need to sleep now... Just fucking kidding ด้วย 😂 แต่พลังเยอะกันมากกกก ขนมาหมด เพลงเก่า เพลงใหม่อย่าง Run ก็มา มอนิเตอร์สดจอใหญ่ก็ลูกเล่นเยอะดี คือเราสูงไง (ประชด!!) ก็จะเห็นจอเป็นหลัก เห็นตัวจริงๆ เป็นเสี้ยวๆ เท่านั้น 55 วงเล่นตั้งแต่ 22.15 - 00.45 น่ะ 2 ชั่วโมงกว่า ประหนึ่งคอนเสิร์ตเดี่ยว จบฟูไฟท์เตอร์ไป ก็นั่งพักรอเวลา ระหว่างนั้นก็นั่งฟัง Kurt Vile ไป แต่ไม่ได้ไปยืนดูนะ หมดพลัง ยืนมานานแล้ว นั่งเก็บแรงรอดูวงถัดไปตอนตี 2 นั่นก็คือ Catfish and the Bottlemen - จัดหนัก ดนตรีแน่นมาก จนหัวใจรู้สึกเต้นตุบๆ ตามจังหวะกลอง นักร้องนำไม่ค่อยพูดพร่ำทำเพลง แค่แนะนำเพลงต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างรอเล่นแต่ละเพลง มันเลยจะมีความเงียบคั่นอยู่ แล้วก็สลับกับความมันของเพลงกันไป แต่รู้สึกว่าเซ็ทลิสต์ที่เลือกมามันแนวเดียวกันไปหมด มันเลยจะมันแบบเรื่อยๆ ยาวๆ ไป ไม่มีจุคพีคเท่าไหร่ ที่ชอบสุดคือไลท์ติ้ง แสงสวยมากทุกเพลง รับประกันเลย! จบกันไปตอนตี 3 นิดๆ เดินไปกินแม็คฯอีกรอบ ก่อนจะกลับถึงห้องตี 4 กว่า DAY II พลาดไป 1 วงจากที่แพลนไว้ วันนี้วงที่จะดูวงแรกขึ้น 3 ทุ่ม เลยออกจากห้องช้า พอไปถึงห้ามเอาขาโกโปรเข้าอีก! ซึ่งเมื่อวานให้กูเอาเข้าไง งงไปอีก! ต้องออกไปฝากไว้ที่บูทรับฝากในราคา 3 ยูโร แล้วมาต่อแถวแสนยาวรอตรวจกระเป๋าเข้าอีกรอบ ==: เริ่มวงแรก alt-J - โคตรลอย วิชวลกับไลท์ติ้งแม่งเจ๋งจริง เพลงเก่าก็มา เพลงใหม่ก็มา ได้ฟัง Taro สดก็เป็นบุญละ (ที่จริงควรจะได้ดูตัีงแต่ Summer Sonic 2013 แต่ตอนนั้นไปดูวงไหนแทน ก็จำไม่ได้ละ) Kodaline - ขึ้นเวลาทับกันกับทั้ง alt-J และ Green Day และด้วยความที่เคยดูแล้ว เลยต้องยอมให้เป็นวงไม่หลัก ตอนที่วิ่งไปถึงเพลง Brand New Day ก็ขึ้นพอดี ต่อด้วย Love Like This ด้วยความที่เป็นเพลงสดใสหมด และต้องทำเวลาเพื่อเดินกลับไปเวทีใหญ่ที่กรีนเดย์จะขึ้น เลยลุ้นมากว่าจะได้ฟังเพลงใหม่มั้ย แล้วก็เป็นบุญ Brother ขึ้นจ้าาาา น้ำตาคลอ เอาจริง! ฟังได้แค่เกือบ 4 เพลง ก็ต้องยอมตัดใจเดินจากเวทีมา (น้ำตาจิไหล) รีบมาหาทางเดินแทรกมหาชนเข้าไปให้พอเห็นเวทีมากที่สุด เพื่อพบว่า Green Day - ดีเลย์ครึ่งชั่วโมงจ้าาา ระหว่างนั้นนางก็เลยเปิดเพลง Bohemian Rhapsody ของ Queen ให้ร้องรอเล่นๆ ก่อนจะให้มาสคอตกระต่ายออกมาเต้นรออีกเพลง แล้วก็เปิดฉากความมันทันที เพลงแรกทุกคนก็กระโดดตัวลอยแล้วจ้า พอมาเห็นบิลลี่แบบนี้แล้วรู้เลยกว่าแก่มากแล้ว แต่พลังแม่งยังเยอะอยู่เหมือนเดิม ระหว่างโชว์ก็จะเรียกแฟนเพลงขึ้นไปเรื่อยๆ รอบนี้ได้ขึ้นไป 4 คน คนแรกได้จูบปากด้วยจ้า คนสองได้เซลฟี่ แต่สองคนนี้ต้องลงจากเวทีด้วยการกระโดดใส่ฝูงชนนะ ส่วนคนสามพีคสุด ช่วงที่บิลลี่หาคนขึ้นไปเล่นกีตาร์ นางทำป้ายมา ขอขึ้นไปเล่นเบส บิลลี่ก็ให้ขึ้น สรุปทีมงานไม่มีเบสให้ บิลลี่เลยให้เล่นแทมโบรีนแทน แล้วหาอีกคนขึ้นไปเล่นกีตาร์ ซึ่งเล่นโคตรเทพ แต่ระหว่างเพลงที่แทมโบรีนแย่งซีนตลอดเวลา 555 แต่คุ้มสุด บิลลี่ให้กีตาร์นางเลยจ้าาา เพลงเด็ดเพลงดังมาหมด American Idiot ก็ต้องมา 21 Guns ก็ต้องมา คือเล่นยาวเกินเวลาไป (เพราะขึ้นดีเลย์อ่ะนะ) สิริรวมเกือบ 3 ชั่วโมง จบตอนตี 2 สี่สิบ หมดแรง ปวดขา และหิวน้ำมากจริงๆ แล้วไง? . . . อดดู Slowdive เพราะวงขึ้นเล่นตี 2 ตรง ตามตารางจบตี 3 เดินแทรกเข้าไปก็ไม่ไหว ด้วยพละกำลังที่ใช้ไปกับ Green Day หมดแล้ว ณ จุดนั้นเลยขอเดินหาน้ำดื่มแทน ถามว่าเสียดายมั้ย ก็เสียดายแหล่ะ แต่โตมากับเพลงกรีนเดย์มากกว่าไง ก็ต้องเลือกกรีนเดย์น่ะนะ แล้วก็ไม่เสียใจนะ เพราะดูจบคือหันมาคุยกับเพื่อนว่า 5800 ที่จ่ายไป ให้กลับบ้านตอนนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ DAY III
วันสบายๆ เก็บแค่ 2 วงเบาๆ วันนี้ศิลปินที่ตั้งใจจะดูมีแค่ 2 วง แต่ตื่นเร็ว ก็เลยกะออกไปเดินเล่นในงานก่อน ไปถึงสองทุ่มกว่าๆ แถวต่อเข้างานยาวมากกกกก ยาวเป็นกิโล อยู่ฝั่งใกล้เมนสเตจ ระหว่างรอเข้างานเลยได้ฟัง Wilco ไปด้วย พอเข้างานมา ก็แวะไปดู Manic Street Preachers แป๊ปนึง ก่อนที่กะเดินไปถ่ายรูปกับซุ้ม Stand for ซะหน่อย ดั๊นเปลี่ยนช๊อยแล้ว (เสียใจ) คือมันจะเป็นซุ้ม 2 ตัวเลือกแล้วให้เราเลือกเดินรอดไป จะมีเซ็นเซอร์นับแต้มแต่ละฝั่ง ซึ่งวันแรกให้เลือกระหว่าง Stand for... Dumbledore กับ Gandalf แต่วันที่สามเปลี่ยนเป็น Simpsons Family กับ Kardashian Family เลยอดถ่ายไป เพราะกะไป "Stand for Dumbledore" ซะหน่อย หลังจากนั้นก็หาเบียร์ดื่ม หาเฟรนช์ฟรายกินเสร็จ แล้วเดินกลับมาดู Dinosaur Jr. อยู่ห่างๆ ก่อนจะเดินมาขึ้น ชิงช้าสวรรค์ราคา 3 ยูโร ดูบรรยากาศจากมุมสูงเล่น ซึ่งจุดพีคคือนั่งไปซักพักคนบังคับจะเพิ่มความเร็วเรื่อยๆ ดูจากข้างล่างดูหวาดเสียวดี แต่พอขึ้นไปจริงก็ไม่เท่าไหร่ ลงมาก็ไปเมนสเตจรอดู Kings of Leon - ก่อนวงขึ้นก็มีคำไว้อาลัยขึ้นมาให้กับนักกีฬา Acrobatic ที่เสียชีวิตจากการตกลงมาจากเครนสูงหลายเมตรระหว่างโชว์ก่อน Green Day ขึ้นเมื่อวาน และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมวงถึงขึ้นเลท (พีคมากจริงๆ) วันแรกเรายังคุยกับเพื่อนตอนดูโชว์อยู่่เลย ว่ามันเซฟจริงป่าววะ เพราะเห็นมีแค่เชือกสลิงเส้นเดียวที่เกี่ยวนักแสดงแต่ละคนเอาไว้ พอรู้ข่าว ก็ช็อกเบาๆ นะ R.I.P Pedro กลับมาที่เรื่องหลัก Kings of Leon ช่วงเริ่มก็ดี เรื่อยๆ สบายๆ แต่มาพีคหลังๆ ตั้งแต่เพลง Use Somebody พอเที่ยงคืน เราเลยเดินออกมาก่อน เพื่อมาเวทีติดกัน ก็ยืนเต้นยืนฟังเพลงที่เหลือของวงจากมุมไกล และวงถัดมาที่เราออกมายืนรอก่อนเพื่อให้ได้ตำแหน่งกลางเวทีที่สุดคือ Foster the People นั่นเองงงงง รอบนี้ขนเพลงอัลบั้มใหม่มาเยอะ เราฟังในออดิโอ้แล้วก็ชอบ แต่ไม่ได้พีคมาก แต่พอได้มาดูไลฟ์สด โอ้ย!!!! คือดีมาก มากกว่าฟังออดิโอ้หลายเท่า วิชวลกับไลท์ติ้งก็ดี มาร์คแม่งเท่ขึ้นอีกสิบระดับพอร้องพอเล่นดนตรี คือเป็นแบนด์ที่มัลติอินสตรูเม้นท์ มัลติทาเล้นท์ดี ดูแล้วเพลิน ช่วงหลังๆ ก็ดึงเอาเพลงฮิตอย่าง Are you what you want to be หรือเพลงอื่นๆ มาเล่น เรียกว่าไม่มีเพลงช้า ถล่มหนักด้วยเพลงเร็ว เต้นยับกันไป 1 ชั่วโมง! ดี! ต้องหาโอกาสดูคอนฯเดี่ยวให้ได้ ;) จบฟอสเตอร์ฯ จะกลับเลย ก็วันสุดท้ายละ เลยอยู่ต่ออีกหน่อยเลยละกัน เห็นเจ้าของห้องที่เราพักแนะนำ Moderat อย่างจริงจัง ก็เลยไปยืนดูซักหน่อย Moderat - เป็นวงอิเล็กโทรฯ สามคน ที่มีร้องสดด้วย ซึ่งก็เป็นเพลงแนวอิเล็กโทรฯแบบลอยๆ น่ะ ก็ฟังได้ แต่ก็ไม่ได้ชอบขนาดต้องติดตามต่อ แต่ความพีคของวงนี้คือวิชวลประกอบแต่ละเพลง ยืนดูเพลินเลยจ้า ดูเมาๆ จ้องนานๆ อาจจะจิตหลุดได้ ก็ยืนฟังยืนดูวิชวลไปจนตีสาม แล้วก็กลับ จบเทศกาลดนตรีในยุโรปครั้งแรกของชีวิต ถ้าปีหน้าไลน์อัพสวย และไม่อัพราคา ก็หวังว่าเราจะได้กลับมาอีก #MadCoolFestival |